หน้าแรกCOLUMNISTSจับตา‘4วิกฤติ’ โจทย์ยากท้าทายรัฐบาล 

จับตา‘4วิกฤติ’ โจทย์ยากท้าทายรัฐบาล 

- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

วิกฤติใหญ่ ที่กลายเป็นประเด็นร้อนในสังคมไทยเวลานี้ คงไม่พ้น 4 เรื่องใหญ่ ๆ ที่ท้าทายฝีมือรัฐบาล ที่มี “นายกฯรักษาการ” ตั้งแต่ “กรณีภาษีทรัมป์” ที่กำลังงวดเข้ามา รวมทั้งรัฐบาลกำลังเจอ “วิกฤติศรัทธา” อย่างหนัก โดยเฉพาะ “วิกฤติการเมือง” จากความขัดแย้งทั้งในสภาฯและนอกสภาฯ “กรณีพระสงฆ์มั่วสีกา” ที่กำลังเป็นข่าวใหญ่โต และ “วิกฤติความมั่นคง” กำลังถูกท้าทายจากขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา 

เริ่มจาก “วิกฤติเศรษฐกิจ” ที่ร้อนแรงเวลานี้ คงไม่พ้นเรื่อง “มาตรการภาษีทรัมป์” ที่ไทยโดนเรียกเก็บภาษีนำเข้า 36% ต้องลุ้น 1 ส.ค.68 นี้ สหรัฐฯจะยอมลดภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยส่งไปสหรัฐฯหรือไม่ โดยไทยคาดหวังว่าอาจจะลดลงมาเหลือ 18-20% เท่ากับเวียดนามที่เสีย 20% อินโดฯ 19% เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ 

งานนี้ไทยเทหมดหน้าตัก คือ เตรียมยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ หรือ ไม่เก็บภาษีในสัดส่วน 90% ของสินค้าสหรัฐฯทั้งหมด กำจัดอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีครอบคลุมสินค้าสหรัฐประมาณ 10,000 รายการ รวมถึงการยกเว้นภาษีสำหรับบริการดิจิทัลของสหรัฐฯ ที่ดำเนินการในไทย หรือให้บริการลูกค้าชาวไทย เพื่อแลกกับสหรัฐฯเก็บภาษีลดลงจาก 36% นอกจากนี้มีแนวโน้มว่า ไทยจะนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว ซื้อเครื่องบินโบอิ้ง และผลิตภัณฑ์อาหารและเกษตรกรรม เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง และข้าวบาร์เลย์ อีกด้วย

แต่ความหวังค่อนข้างริบหรี่ มีเวลาเหลือไม่กี่วัน “ทีมไทยแลนด์” ต้องทำงานแข่งกับเวลา และยังต้องแข่งกับประเทศที่ยื่นข้อเสนอใหม่เกือบ 100 ประเทศที่ต่อคิวรอ ด้วยเงื่อนไขดังกล่าว เป็นไปได้ว่า สหรัฐฯอาจจะไม่มีการพิจาณา แต่จะยืนอัตราเดิมไปก่อน 

ถ้าสหรัฐฯไม่ลดภาษีให้ไทยต่ำกว่า 36% หรือใกล้เคียงกับเวียดนามและอินโดนิเซีย อาจจะเรียกว่า เป็น “หายนะเศรษฐกิจไทย” เลยทีเดียว ความเสียหายไม่เฉพาะเรื่องส่งออก ยังจะรวมไปถึงเรื่องการลงทุน หลังจากวันที่ 1 ส.ค.68 หากไทยต้องเสียภาษี 36% นักลงทุนย่อมจะเลือกไปลงทุนในเวียดนาม กับอินโดนีเซียแน่ ๆ มีการประเมินความเสียหายจากกรณีนี้ไม่ต่ำกว่า 1.2 ล้านบาท

ส่วนสหรัฐฯจะลดจาก 36% ให้มาก-น้อยแค่ไหน คงต้องรอผลอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่ดูแล้วไทยมีทางเลือกไม่มากนัก รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาคราชการ และภาคธุรกิจต้องเตรียมรับมือให้ดี 

อีกหนึ่ง วิกฤติที่ทำลายความศรัทธาของคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธ กรณี “พระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ระดับเทพ-ระดับเจ้าคุณ-เจ้าคณะจังหวัด” ถูกจับสึกกว่า 10 รายเพราะมีหลักฐานว่า “มั่วสีกาถึงขั้นปาราชิก” ไม่เฉพาะกรณีพระสงฆ์พัวพันสีกากอล์ฟ 

ในเวลาไล่เลี่ยกันยังมีกรณีที่ “พระชั้นผู้ใหญ่ระดับเจ้าคณะจังหวัด” ที่มั่วสีกานานกว่า 10 ปี จ่ายเงินบำเรอกว่า 100 ล้านบาท และในเวลาเดียวกันก็ยังมีระดับ “เจ้าอาวาส” ไปคบชู้กับเมียชาวบ้าน จนถูกจับสึกและมีข่าวพระที่เคยรับราชการระดับรองผบ.ตร.ถูกแจ้งความให้ดำเนินคดีข้อหาลักทรัพย์ 

เรื่องนี้ไม่ใช่แค่พฤติกรรมส่วนบุคคล แต่สะท้อนถึง โครงสร้างของวงการสงฆ์ ที่ผ่านมาไม่มีการตรวจสอบ เพราะในสังคมไทยถือว่า พระคือบุคคลสาธารณะด้านจริยธรรม แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เกิดความรู้สึกว่า พระไม่น่าเชื่อถือและขาดความศักดิ์สิทธิ์ 

ถึงเวลาต้อง ปฎิรูปวงการสงฆ์ อย่างจริงจัง มีกฏหมายลงโทษหากทำผิดวินัยร้ายแรง มีการจัดทำรายรับ-รายจ่ายของวัดอย่างโปร่งใส ปรับระบบคัดเลือกพระผู้ใหญ่ด้วยความรอบคอบ ชอบธรรมและโปร่งใส เลิกระบบชั้นยศที่เกินความจำเป็น เพื่อรักษาแก่นแท้พุทธศาสนา ให้คงอยู่ในสังคมไทยอย่างมีศรัทธาและคุณค่า 

ที่สำคัญ ขณะนี้ วิกฤติศรัทธารัฐบาล ที่ตกต่ำลงอย่างน่าใจหาย เป็นอีกวิกฤติใหญ่ สืบเนื่องจากกรณีศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ “นายกฯแพทองธาร ชินวัตร” หยุดปฏิบัติหน้าที่เหตุจากคลิปลับ “ฮุน เซน” หลุดสู่สาธารณชน ขณะที่ “ผู้มากบารมีในรัฐบาล” ต้องลุ้นคดี 112 และชั้น 14 รพ.ตำรวจ ทำให้เสถียรภาพรัฐบาลเปราะบางอย่างมาก 

ในสภาฯเองก็อยู่ในภาวะปริ่มน้ำ หลังจากพรรคภูมิใจไทยถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลมาทำหน้าที่ฝ่ายแค้นเต็มตัว ขณะเดียวกันพรรคเพื่อไทยก็เอาคืนพรรคภูมิใจไทยเร่งเครื่อง “คดีฮั๊ว สว.” เต็มสูบ เล่นกันแรงใส่กันไม่ยั้ง รัฐบาลกำลังเจอมรสุมรอบด้าน ต้องเจอแรงกดดันทั้งในสภาฯและนอกสภาฯ สภาพจึงไม่ต่างจาก “เป็ดง่อย” ทำให้ความเชื่อมั่นของรัฐบาลลดฮวบ ส่งผลถึงนักลงทุน นักธุรกิจ ที่ไม่มีความมั่นใจตามมา

ขณะที่แนวชายแดนพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ยังรุนแรงต่อเนื่อง กลับมีความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาแทรกเข้ามา ไม่น่าเชื่อว่าในยุคนายกฯแพทองธาร ยุครัฐบาลเพื่อไทย “ฮุน เซน” กับ “ตระกูลชินวัตร” จะต้องมาแตกหักกันแบบตัดบัวไม่เหลือใย จากความขัดแย้งของสองตระกูล กลายเป็นการดึงเอาประชาชนทั้งสองประเทศมาเป็นคู่ขัดแย้ง กลายเป็นปัญหาเรื่องความมั่นคงของประเทศ

ที่สำคัญ ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา กระทบกับวิถีชีวิตประชาชนสองประเทศที่ข้ามแดนไปมาหาสู่กัน คนกัมพูชาเข้ามารับจ้างทำงาน มารักษาพยาบาลฝั่งไทย ส่วนคนไทยก็นำสินค้าข้ามแดนไปขายกัมพูชา เป็นการค้าชายแดนที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไม่น้อย ตอนนี้ประชาชนทั้งสองฝ่ายได้รับความเดือดร้อนหนัก  

นี่คือ “4 วิกฤติ” ที่ท้าทายศักยภาพรัฐบาลเป็ดง่อยจะสามารถฝ่าฟันไปได้หรือไม่ 

…………………………………

คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง

โดย “ทวี มีเงิน”

สนับสนุนคอลัมน์ โดย บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)

- Advertisement -spot_imgspot_img
RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
spot_img

Most Popular

spot_img
spot_img
- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img