สถานการณ์ตึงเครียด ที่ ชายแดนทางบก “ไทย-กัมพูชา” ที่จ.อุบลราชธานีในขณะนี้ คงส่งผลทำให้ การเจรจาพัฒนาปิโตรเลียมบริเวณพื้นที่อ้างสิทธิไหล่ทวีปทับซ้อนไทย-กัมพูชา (Overlapping Claims Area : OCA) ในอ่าวไทย ยิ่งมองไม่เห็นทางเดินต่อ แม้วันเวลาจะล่วงเลยมาถึงกว่าห้าสิบปี และทั้งสองประเทศ ต่างก็ต้องการแหล่งพลังงานจากทรัพยากรปิโตรเลียม ที่เชื่อกันว่ามีศักยภาพสูงที่จะพบในพื้นที่ OCA นี้
เรื่องนี้ “ดร.คุรุจิต นาครทรรพ” ผู้อำนวยการสถาบันปิโตรเลียมและพลังงานแห่งประเทศไทย-อดีตปลัดกระทรวงพลังงาน-อดีตอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ และอดีตประธานร่วม (ฝ่ายไทย) ในองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย (MTJA) ให้ข้อมูลว่า “การพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติร่วมกันในพื้นที่ OCA แม้เป็นโอกาสและความจำเป็นของทั้งสองประเทศ ที่ต่างต้องการเข้าไปสำรวจและแสวงประโยชน์จากแหล่งปิโตรเลียมในบริเวณดังกล่าว เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะไทยเอง ต้องการก๊าซฯเพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้า ก๊าซหุงต้มและทำอุตสาหกรรมปิโตรเคมี แต่การจะเจรจา OCA ควรต้องอยู่ในบรรยากาศที่เป็นมิตร ไม่ใช่เจรจาบนความคับข้องใจ หรือหวาดระแวง ดังนั้นแม้ทั้งสองประเทศจะมีเป้าหมายเดียวกัน แต่เมื่อมีประเด็นขัดแย้งเกี่ยวกับพรมแดนทางบกเกิดขึ้น การเจรจาแก้ปัญหาพื้นที่อ้างสิทธิไหล่ทวีปทับซ้อนทางทะเล ก็ยากที่จะเริ่มได้”

อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา เรื่องเขตแดนทางบกล่าสุดที่เกิดขึ้นนี้ “ดร.คุรุจิต” มองว่า มีสิ่งที่เราพึงพิจารณาไตร่ตรองให้ดี 2 ส่วนคือ 1.ไทยและกัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านกันในทางภูมิศาสตร์ ต่อให้ไม่ชอบหน้ากันขนาดไหน ต่างก็ย้ายประเทศหนีอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ คงยังต้องเป็นเพื่อนบ้านกันอยู่อย่างนี้อีกนับเป็นพันปี และ 2.ในยุคสมัยปัจจุบัน ประเทศใดประเทศหนึ่งจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวลำพังไม่ได้ ต่างต้องมีความสัมพันธ์ทางการค้าและวัฒนธรรมในหลากหลายมิติภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และโลกไร้พรมแดน
“ไทยนั้นถือเป็นศูนย์กลางของกลุ่มประเทศ CLMVT (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม และไทย) เวลาเดินทางไปยุโรป คนในประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้ ต่างต้องเดินทางมาเปลี่ยนเครื่องบินที่ไทย หรือมีการส่งลูกหลานมาเรียนโรงเรียนอินเตอร์ในไทย หรือบินเข้ามาใช้บริการทางการแพทย์ที่ประเทศไทย ระหว่างสองประเทศนี้ ไทยได้เปรียบดุลการค้ากัมพูชามาตลอด เพราะเขาต้องการปัจจัยที่จำเป็นในการพัฒนาเศรษฐกิจจากเรา กรณีเกิดอาชญากรรม เมื่อผู้ร้ายหนีไปกัมพูชาเราก็ต้องขอความร่วมมือให้เขาจับคนร้ายส่งมาให้ ดังกรณีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นต้น” ดร.คุรุจิต อธิบาย
ดังนั้น เมื่อมีความตึงเครียดเกิดขึ้น ไทยจึงควรวางตัวให้สมกับที่เราเป็น “พี่เบิ้ม” ควรใช้ความอดทนอดกลั้น มองหมากรุกทั้งกระดานอย่างมีสติ แล้ววิเคราะห์ฉากทัศน์ (Scenario Analysis) ต่อไป
ว่าหากทำอย่างนี้หรือเดินหมากอย่างนั้นแล้ว ฉากต่อไป อะไรจะเกิดขึ้น? หากควบคุมดูแลไม่ได้ ปล่อยให้ “อารมณ์ชาตินิยม” ขยายวง จนเป็น “การรบพุ่ง” ด้วยอาวุธสงคราม ย่อมเกิดความสูญเสีย ที่นำไปสู่สถานการณ์บานปลาย
หากปะทะกันรุนแรงถึงเลือดตกยางออก ผู้ที่จะสูญเสียกลุ่มแรกก็คือ “ทหารชั้นผู้น้อย” และ “ราษฎรที่อยู่ชายแดน” มิใช่ “กองเชียร์” จาก “คนในส่วนกลาง” อย่างกรุงเทพฯ ที่ปลุกกระแสให้รบกัน…อยู่ในขณะนี้
ในประวัติศาสตร์ย้อนไปห้าสิบปี ความตึงเครียดตามพรมแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งยาวหลายร้อยกิโลเมตรมีมานานแล้ว แต่เพราะเหตุใดจึงมาปะทุตอน “รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร” มาบริหารประเทศ
หากยังจำกันได้ เคยเกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งแบบ “น้ำผึ้งหยดเดียว” ในช่วง “รัฐบาลทักษิณ 1” เมื่อ 29 มกราคม 2546 หรือเมื่อ 22 ปีก่อนที่ “เกิดเหตุจลาจลในกรุงพนมเปญ” นำไปสู่ “การเผาสถานทูตไทยในกัมพูชา”

เวลานั้น คงต้องยอมรับว่า มี “กลุ่มคนบางพวก” พยายาม “สร้างสถานการณ์” กดดันทำลายเสถียรภาพรัฐบาล โดย โจมตี “ผู้นำ” ว่า ไปซูเอี๋ยกับ “ผู้นำต่างประเทศ” ไม่กล้าต่อกร มีผลประโยชน์แอบแฝง หรือเอาผลประโยชน์ชาติไปปะปนกับประโยชน์ส่วนตัวบ้าง ทำให้ความตึงเครียดชิงชังเพื่อนบ้านมีมากขึ้น สุ่มเสี่ยงให้ปัญหาบานปลายและแก้ยากขึ้น
ความหลังที่ชอกช้ำจากข้อพิพาท “ปราสาทเขาพระวิหาร” ที่ศาลโลกตัดสินว่า “ตัวปราสาท” เป็นของกัมพูชา แต่ “ทางขึ้น” เป็นของไทย ทำให้เราระมัดระวังในการนำข้อขัดแย้งเสนอให้ศาลโลกตัดสินชี้ขาด แต่เราก็ควรมีจุดยืนที่ตอบประชาคมโลกให้ได้ว่า เรามีหนทางจะแก้ปัญหาความขัดแย้งเรื่องพรมแดนโดยสันติวิธีอย่างไร หากจะไม่เลือกใช้บริการจากศาลโลก
ที่สำคัญการสู้รบกัน ไม่อาจมีผู้ชนะได้ ดูได้จากคู่ขัดแย้ง อย่าง “อิสราเอลกับกลุ่มฮามาส” แม้อิสราเอลจะมีกำลังทหารและอาวุธเหนือกว่าอย่างเทียบไม่ได้ แต่ผ่านมาเกือบสองปีแล้ว ก็ยังเผด็จศึกกลุ่มฮามาสไม่ได้ หรือสงคราม “รัสเซีย-ยูเครน” ที่ยังยืดเยื้อเข้าปีที่สามและมีแต่ความสูญเสียทั้งสองฝ่าย แม้รัสเซียจะมีกำลังรบที่ได้เปรียบกว่าก็ตาม
ในกรณีของเรา ถึงไทยจะมีแสนยานุภาพทางทหารมากและเหนือกว่าเขา แต่ก็คงจะไม่ได้ชนะศึกกันง่ายๆ อย่างไม่ยืดเยื้อ หรือไม่มีความสูญเสีย ซึ่งเราต้องคิดด้วยว่า หากปะทะกันเมื่อไหร่ ก็จะเปิดช่องให้มีการแทรกแซงจาก “คนกลาง” เข้ามาไกล่เกลี่ย เช่น จีน หรือสหรัฐอเมริกา หรืออินโดนีเซีย หรืออาจมีกองกำลังรักษาความสงบของสหประชาชาติเข้ามาหย่าศึกเป็นกันชน หากเป็นเช่นนั้น ภาพความ “พี่เบิ้มของไทย” ที่เป็นหนึ่งในห้าของผู้ก่อตั้งประชาคมอาเซียน และ “เกียรติภูมิของไทย” ในเวทีโลก ก็คงตกต่ำยากที่จะกอบกู้คืนมาได้

“ดร.คุรุจิต” ย้ำว่า “แน่นอนว่า เราต้องปกป้องอธิปไตยของไทย แต่อย่าปิดประตูทางออกด้วยสันติวิธี โดยเราต้องปรับมุมมองใหม่ที่มีต่อกัมพูชา ที่เขาก็เป็นสมาชิกอาเซียนเหมือนกัน การกรีฑาทัพบุกประเทศเพื่อนบ้าน ภาพนั้นเกิดขึ้นได้ยากแล้วในยุคนี้ และแม้ว่าเราจะเลือกทางนั้น ก็จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบในเชิงความมั่นคงปลอดภัยภายใน อย่าลืมว่า ในประเทศไทย มีคนกัมพูชานับแสนนับล้าน มาเป็นแรงงานอยู่เต็มไปหมด แยกแยะลำบาก จึงล่อแหลมต่อการควบคุมจุดยุทธศาสตร์ และป้องกันการก่อวินาศกรรมโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ”
ดังนั้น จึงอยากจะ “เสนอทางออกเพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งทางพรมแดนบนบกอย่างสันติวิธี” หากคิดว่า ไม่ควรไปศาลโลก คู่กรณีก็อาจร่วมกันหา “คนกลาง” จากประเทศที่เป็นมิตรกับสองฝ่าย สัก 3-5 ประเทศ เช่น อินเดีย ญี่ปุ่น แคนาดา ฟิลิปปินส์ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ เป็นต้น มาทำหน้าที่เป็น คณะผู้เชี่ยวชาญ (Panel of Experts) ตรวจสอบข้อมูลพื้นฐานข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ของแนวพรมแดนทางบกไทย-กัมพูชา แล้ว ทำข้อเสนอแนะแนวทางที่ไม่มีผลผูกพัน (Mon-Binding Recommendation) ให้ทั้งสองฝ่ายรับไปพิจารณาใช้เป็นกรอบเจรจาว่าควรดำเนินการอย่างไรต่อไป
ต้องยอมรับว่า ในอดีตช่วงที่เวียดนามบุกรุกไล่เขมรแดงมาประชิดชายแดนไทย เมื่อกว่าสี่สิบปีมาแล้วนั้น มีนิทานร่ำลือมากมายเกี่ยวกับหลักเขตชายแดนที่ถูกย้ายไปย้ายมา โดยกลุ่มคนที่ไม่ทราบฝ่าย เพราะเหตุผลต่างๆ นานา เช่น ผลประโยชน์จากการตัดไม้เถื่อน หรือหนีการรุกไล่ของเวียดนามเข้ามาหลบภัยในไทย เป็นต้น

สำหรับ การเจรจาพัฒนาปิโตรเลียมบริเวณพื้นที่อ้างสิทธิไหล่ทวีปทับซ้อนไทย-กัมพูชา : OCA “ดร.คุรุจิต” บอกย้ำข้อมูลว่า “OCA เป็นเขตพื้นที่ทางทะเลในอ่าวไทย ที่ไทยและกัมพูชาต่างอ้างสิทธิในเขตไหล่ทวีปทับซ้อนกันมานานกว่า 50 ปี เรื่องนี้ Milestone ที่สำคัญคือ บันทึกความเข้าใจ MOU 2544 ซึ่งเป็นความตกลงที่กำหนดกรอบการเจรจาปัญหาพื้นที่อ้างสิทธิไหล่ทวีป เพื่อให้ทั้งสองประเทศตั้งผู้แทนเป็นคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคมาเจรจาใน 2 เรื่อง คือ การเจรจาเพื่อจัดทำความตกลงพัฒนาร่วมแหล่งทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่ท่อนล่างของ OCA และ การเจรจาตกลงแบ่งเขตทางทะเลและไหล่ทวีปในพื้นที่ OCA ท่อนบน”
“ดร.คุรุจิต” ตอกย้ำว่า “ทั้งสองเรื่องนี้ จะต้องดำเนินการเจรจาไปพร้อมกัน ในลักษณะที่ไม่อาจแบ่งแยกได้ เพราะเกาะกูดอยู่ในเขตอำนาจอธิปไตยของประเทศไทย เกาะกูดจึงจำเป็นต้องมีทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง รวมทั้งเขตทางทะเลเป็นของตนเองด้วย ซึ่ง MOU 2544 นั้นถือเป็นครั้งแรกที่กัมพูชายอมรับว่า จะต้องเจรจากับไทยเรื่องแบ่งเขตทางทะเลที่ถัดลงมาทางด้านใต้ของเกาะกูด”
สำหรับ พื้นที่ OCA มีเนื้อที่ประมาณ 26,000 ตร.กม. ในแง่วิชาการพื้นที่บริเวณนี้ ตั้งอยู่บนแอ่งธรณีวิทยาที่เรียกกันว่า Pattani Basin มีศักยภาพที่จะพบแหล่งก๊าซฯและน้ำมันดิบในจำนวน และขนาดปริมาณสำรองไม่น้อยไปกว่าที่เคยสำรวจพบมาแล้ว ที่อยู่ในเขตทางทะเลของไทยกว่า 20 แหล่ง เช่น แหล่งเอราวัณ สตูล ปลาทอง ทานตะวัน และเบญจมาศ เป็นต้น ซึ่งตราบใดที่ทั้งสองประเทศยังไม่สามารถเจรจาหาข้อยุติได้ พื้นที่ OCA ก็มีสถานะเป็น No Man’s Land ที่จะไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเข้าไปสำรวจและแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรได้ นับเป็นการสูญเสียโอกาสทางการพัฒนาเศรษฐกิจภายใต้ราคาพลังงานที่สูงขึ้นๆ ทุกวัน
…………………………….
รายงานพิเศษ : ศรัญญา ทองทับ