“อดีตผู้ฝูง F-16 ชี้” ไทยไม่ใช่ชาติที่ยอมอ่อนข้อให้ใคร แต่ต้องไม่เปิดศึก เพราะอารมณ์ มอง ชัยชนะที่แท้จริง จะไม่ต้องยิงปืนแม้แต่นัดเดียว
เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ประธานยุทธศาสตร์พรรคกล้าธรรม โพสต์เฟสบุ๊คระบุถึงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาว่า เบื้องหลังการยั่วยุ…คือกับดักทางยุทธศาสตร์
คนไทยที่รักชาติทุกคน ย่อมมีอารมณ์โกรธและไม่พอใจกับกรณีพิพาท “ชายแดนไทย–กัมพูชา”แต่ครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ข้อพิพาทดินแดนธรรมดา แต่คือการวางหมากกระดาน ระหว่างรัฐขนาดเล็ก กับชาติที่ใหญ่กว่า โดยใช้ “ศาลโลก” เป็นเป้าหมาย และความรู้สึกของประชาชนเป็นเดิมพัน
อย่าคิดว่าแค่ปะทะเล็ก ๆ แล้วจะจบ… เพราะครั้งนี้เขาเตรียมการมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน และถ้าเราเดินเกมพลาดแม้แต่ก้าวเดียว… สิ่งที่อาจเสีย ไม่ใช่แค่ “ดินแดน” แต่อาจหมายถึง ผลประโยชน์มหาศาลในอ่าวไทย ไปตลอดกาล
ทำไมต้องเจรจา ? ข้อพิพาทระหว่างชายแดนเกิดขึ้นอยู่เสมอๆ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ากรณีช่องบกครั้งนี้มีความแตกต่างกว่าทุกครั้ง เพราะเหตุการณ์ต่างๆ ของฝ่ายกัมพูชา เกิดขึ้นเป็นขั้นเป็นตอน เหมือนเตรียมการมาอย่างดี เริ่มตั้งแต่พาคนร้องเพลงชาติ เกิดไฟไหม้ศาลามรกต จนถึงเหตุปะทะในวันที่ 28 พฤษภาคม
แม้ว่า หลังจากการปะทะดังกล่าว รุ่งขึ้น วันที่ 29 ผบ.พื้นที่ของทั้ง 2 ชาติเจรจากันที่หน้างานทันที ตกลงกันว่า ถอนกำลัง พร้อมใช้กลไก JBC ในการแก้ไขปัญหา ต่างฝ่ายต่างตกลงถอนทหารออกจากจุดปะทะ 200 เมตร ทว่า…. เรื่องที่ทำท่าจะจบแต่กลับไม่จบ

วันต่อมาทางกัมพูชา ไม่ยอมถอนทหารออกจากพื้นที่ เพราะอ้างว่าเป็นจุดที่ถือครองก่อนลงนาม MOU43 ถึงแม้ปัจจุบันกัมพูชายังไม่สามารถพิสูจน์เรื่องเหล่านี้ได้ แต่ก็พยายามข้ามขั้นตอนการเจรจาประเด็นเหล่านี้ในที่ประชุม JBC ที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 14 มิ.ย. เพื่อดันเรื่องเข้าสู่ศาลโลก พร้อมกับกล่าวหาว่าไทยเป็นผู้รุกราน และกัมพูชาเป็นผู้ถูกกระทำ
การที่กัมพูชายืนยันจะดำเนินการเดินเรื่องถึงศาลโลกนั้น อาจเป็นเพราะเคยชนะคดีเขาพระวิหารมาก่อนถึง 2 ครั้ง แม้กัมพูชาเองจะทราบดีว่า ไทยไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 และความพยายามดำเนินการฝ่ายเดียวของกัมพูชา จะไม่เกิดผลทางกฎหมาย…
แต่กัมพูชาต้องดำเนินกลยุทธ์อย่างที่ปฏิบัติอยู่นี่แหละ เพื่อยั่วยุ ท้าทาย และปลุกสำนึก “คลั่งสงคราม” ของคนไทยบางกลุ่มที่จุดติดได้ไม่ยาก
สิ่งที่กัมพูชาต้องการคือ การปฏิบัติการทางทหารของฝ่ายไทยต่อกัมพูชา ขอเพียงแค่มีการลงมือลงมือกัน ยิงถล่มกัน กัมพูชาก็จะได้ข้ออ้างว่ามีการปะทะกัน และเสนอเงื่อนไขการหยุดยิงที่ไทยยอมรับไม่ได้
เมื่อตกลงกันไม่ได้ รัฐกัมพูชาที่เป็นรัฐเล็กกว่าก็สามารถเชื้อเชิญนานาชาติ และองค์กรระหว่างประเทศ เข้ามาเป็นกรรมการ โดยเป้าหมายสูงสุดก็คือ นำกรณีพิพาทเรื่องดินแดนของทั้ง 2 ประเทศ ไปขึ้นศาลโลก
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมต้องเป็น “ศาลโลก”ก็เพราะกัมพูชาเล่นพนันได้ฟรีๆ โดยไม่ต้องวางเดิมพันแม้แต่บาทเดียวไง หากผลตัดสินของศาลโลกออกมาให้ยึด สนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็กลับไปสู่สภาพเดิม ประเทศกัมพูชา ไม่ได้-ไม่เสียอะไร
“แต่ถ้าศาลโลกเกิดตัดสิน ให้ใช้ระวางแผนที่ของกัมพูชาบางส่วนหรือทั้งหมด คราวนี้แหละจะส่งผลต่อการปักปันเขตชายแดนใหม่ๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะพื้นที่ทางทะเลในอ่าวไทย ที่มีแหล่งปิโตรเคมีมูลค่ามหาศาล”
“แถมได้กำไรได้เป็นฮีโร่ของชาติพ่วงเข้าไปอีก เลือกตั้งครั้งต่อไปยังไงก็ชนะ เห็นได้ชัดเลยว่าเขาไม่มีอะไรจะเสีย การจับเสือมือเปล่าครั้งนี้เขามีแต่ได้กับได้”
การยืนยันว่าจะใช้กลไกการเจรจาผ่านการประชุม JBC จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในเวลานี้ของไทย โดยเฉพาะหากการเจรจาสามารถนำไปสู่ข้อตกลงร่วมที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้ โดยไม่กระทบต่ออำนาจอธิปไตยและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เรื่องนี้ก็จะจบไปเหมือนกรณีพิพาทชายแดนที่เกิดขึ้นทุกครั้ง
แต่ถ้าการเจรจาของที้ง 2 ประเทศ ยังไม่มีข้อยุติ ฝ่ายไทยก็ยังมีมีมาตรการต่างๆอีกมากมายที่สามารถงัดมาใช้ เหมือน “มาตรการควบคุมจุดผ่านแดน” ที่เราใช้อยู่ในตอนนี้ ก็ดูต่อไปว่าใครที่จะได้รับผลกระทบมากกว่ากัน ซึ่งคงไม่ใช่ฝ่ายไทยแน่ๆ
เรื่องนี้จึงไม่ใช่ข้อพิพาทในเรื่องพื้นที่เพียงเท่านั้น แต่เป็นบททดสอบของการทูตเชิงยุทธศาสตร์ของไทย ที่ต้องเดินเกมการเมืองระดับโลก ด้วยความสุขุม รอบคอบ ชาญฉลาด ปราศจากการใช้อารมณ์ โดยคำนึงถึงเหตุและผลตามวัตถุประสงค์และเป้าหมาย ที่ยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ
ข้อพิพาทครั้งนี้… จึงไม่ใช่แค่ “ใครเป็นฝ่ายเริ่มก่อน”
แต่คือ “ใครจะจบเกมนี้ได้ โดยไม่สูญเสียอะไรเลย”
ไทยต้องไม่เล่นตามบทที่เขาวางไว้
และต้องไม่ตกหลุมพรางให้เกิด “เหตุ” เพื่อเปิดทางให้ศาลโลกเข้ามาตัดสินอนาคตของเรา
เจรจา คือด่านแรกของสติปัญญา —
หากเรายังไม่สามารถเจรจาให้ชนะได้ ก็อย่าเพิ่งเอาชาติไปเดิมพันในเวทีที่เขาวางกับดักไว้ทุกทางเดิน
ไทยไม่ใช่ชาติที่ยอมอ่อนข้อให้ใคร — แต่ไทยต้องไม่ทำให้ตัวเองกลายเป็นผู้เปิดศึกเพราะอารมณ์ เพราะการทูตที่ชาญฉลาด… คือชัยชนะที่ไม่ต้องยิงปืนแม้แต่นัดเดียว