วันจันทร์, มิถุนายน 9, 2025
หน้าแรกHighlight‘ปชน.’จี้สรรพากรสอบที่มาปมเงิน12ล้าน ชี้เป็นจุดเริ่มเล็กๆนำไปสู่คอร์รัปชันใหญ่!
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

‘ปชน.’จี้สรรพากรสอบที่มาปมเงิน12ล้าน ชี้เป็นจุดเริ่มเล็กๆนำไปสู่คอร์รัปชันใหญ่!

‘3 สส.ปชน.’ บุกสรรพากร จี้ สอบที่มารายได้-เส้นทางการเงิน ปม ‘เงิน 12 ล้านบาท’ ด้าน ‘ภคมน’ ย้ำ อาจเป็นจุดเริ่มเล็กๆ นำไปสู่คอร์รัปชันใหญ่ แง้ม รอเปิดกองทุน USO เลือกจ้าง-เลี่ยงประมูล ผ่านการให้ทุนไปผลิต ขณะ ‘รักชนก’ เผย จ่อทำหนังสือถึง ‘กสทช.’ บอก คงหน้าด้านไปสักนิด หากยังไม่ทำอะไร ส่วน ‘พนิดา’ สงสัย เอี่ยวประมูลคลื่นสิ้นเดือนนี้หรือไม่

วันที่ 9 มิ.ย.2568 ที่สำนักงานใหญ่กรมสรรพากร นางสาวภคมน หนุนอนันต์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน นางสาวรักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน และนางสาวพนิดา มงคลสวัสดิ์ สส.สมุทรปราการ พรรคประชาชน ร่วมแถลงภายหลังการยื่นหนังสือต่อกรมสรรพากร เพื่อเรียกร้องให้พิจารณาตรวจสอบที่มาของรายได้ และเส้นทางการเงินจำนวน 12 ล้านบาท ของนายทวีวัฒน์ เส้งแก้ว ที่ปรึกษาบอร์ด กสทช. และมีรายชื่อในคณะอนุกรรมการใร กสทช.อีก 5 คณะ

โดยนางสาวภคมน กล่าวว่า หนึ่งในคณะอนุกรรมการที่นายทวีวัฒน์นั่งอยู่ คือคณะอนุกรรมการการควบรวมของทรูและดีแทค ซึ่งในการประชุมปี 65 นายทวีวัฒน์เป็นเสียงข้างน้อยที่ยืนยันว่า กสทช.ไม่มีสิทธิ์อนุญาต และไม่อนุญาตให้เกิดการควบรวมของสองธุรกิจนี้ มีอำนาจเพียงรับทราบเท่านั้น และพฤติกรรมในอดีตที่ผ่านมาก็สามารถฟ้องได้ในบางอย่าง และยังตั้งข้อสังเกตได้ว่า วันนี้ เงิน 12 ล้านบาทที่พบ พร้อมกับจดหมายของ กสทช. ที่เขียนชื่อนายทวีวัฒน์ชัดเจน ว่ามีความเกี่ยวข้องและมีที่มาอย่างไร สิ่งที่อยากให้สังคมตระหนักร่วมกันในวันนี้ คือนายทวีวัฒน์เป็นพนักงานของรัฐ รับเงินเดือน มีรายได้ประจำจาก กสทช. มีอภิสิทธิ์มากมาย ที่ใช้ภาษีประชาชน พวกเราในนามของพรรคประชาชน จึงอยากตรวจสอบนายทวีวัฒน์ ที่อาจเป็นจุด เริ่มต้นเล็กๆ นำไปสู่การคอร์รัปชันใหญ่

“สิ่งสำคัญที่สุด นอกจากสังคม และประชาชน จะจับตาแล้ว คนที่จะมีบทบาทสำคัญที่สุด คือหน่วยงานอย่าง กรมสรรพากร คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อย่าปล่อยให้ประชาชนเรียกร้องกันอยู่แค่เฉพาะภาคประชาชน แต่หน่วยงานต้องเข้ามาร่วมและช่วยกันตรวจสอบ วันนี้สังคมประเทศไทย สะกิดตรงไหนก็เจอ เพราะฉะนั้น หากหน่วยงานยังเฉยเมย ประชาชนก็จะจับจ้องมาที่พวกคุณเหมือนกัน”

ด้านน.ส.รักชนก เชื่อว่า หลายคนคงตั้งคำถาม และอาจจะมองว่าเป็นเรื่องขำขัน ที่เขากล้าจะออกมาพูดว่า เขาลืมเอาไว้ หรือการอ้างเรื่องท่อน้ำแตก แต่คนประเทศนี้ไม่ได้กินหญ้า ทุกคนทานข้าว และตนเชื่อว่าทุกคนมีวิจารณญาณมากพอที่จะคิดเห็นต่อเรื่องนี้ จึงไม่อยากให้ปล่อยผ่าน แล้วสุดท้ายเป็นเรื่องตลกขำขำกันไป แต่อยากให้มีการตรวจสอบ เข้าใจว่า ในขณะนี้ ป.ป.ช. มีการตรวจสอบไปแล้ว แต่เราจะมีการส่งหนังสือ เพื่อย้ำไปอีกว่า จะติดตามอย่างกัดไม่ปล่อยแน่นอน

น.ส.รักชนก กล่าวถึงเหตุผลในการมายื่นต่อสรรพากรในวันนี้ว่า เนื่องจากเงินจำนวนนี้ไม่ได้ถูกยื่นอยู่ในบัญชีทรัพย์สินของภรรยานายทวีวัฒน์ และนายทวีวัฒน์เองมีการยื่นรายได้ต่อสรรพากร เพียงปีละหนึ่งล้านบาท ดังนั้น เงินจำนวนนี้ จึงต้องถูกตรวจสอบเส้นทางการเงิน ว่าได้มาจากอาชีพทนายจริงหรือไม่ หรือได้จากผลประโยชน์อื่นใด ซึ่งตนมองว่าสรรพากรควรมีบทบาทเข้ามาตรวจสอบเงินตรงนี้ เพราะคนทำงานรู้กันทั่ว หากดูเลขธนบัตรที่เรียงกัน ก็รู้ว่าคือธนบัตรล็อตไหน ปีไหน จึงอยากให้ธนาคารกสิกร เข้ามาเร่งตรวจสอบด้วยเช่นเดียวกัน

“พวกเราทั้ง 3 คน อาจจะมีการไปยื่นที่ กสทช.ด้วย แม้ไม่ได้คาดหวังว่า กสทช.จะมีการดำเนินการอะไร แต่หาก กสทช.จะเฉยเมยต่อเรื่องนี้ โดยที่คนๆ นี้ เป็นพนักงานของ กสทช.เอง ดิฉันคิดว่า มันจะหน้าด้านไปสักนิดนึง เราจึงต้องไปยื่นหนังสือ เพื่อเป็นการกระทุ้งให้ กสทช. ทั้งบอร์ด ประธาน และสำนักงาน ต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่ง และกรณีเงิน 12 ล้านบาทนี้ พอๆ กับการที่ตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่มเลย เพราะเป็นกรณีฝีแตกแล้ว ซึ่งสะท้อนภาพรวมความเละเทะของ กสทช. เราจะจี้ให้หนองทะลักออกมา ขุดคุ้ยเรื่องนี้ต่อแน่นอน” นางสาวรักชนก กล่าว

ขณะที่ น.ส.พนิดา กล่าวว่า เราได้มีการตั้งคำถามไปตั้งแต่ที่มีการพบกล่องใส่เงินสด เรื่องบทบาทของผู้ที่มีความเกี่ยวข้อง ซึ่งทำหน้าที่ปฏิบัติงานในอนุกรรมการ ที่มีอำนาจในการตัดสินใจ หรือเข้าถึงการตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ ที่จะกระทบต่อมูลค่าทางเศรษฐกิจ ตลอดจนการที่เราตั้งคำถามถึงโอกาสและความเป็นไปได้ว่า กล่องเงินนี้ จะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับการประมูลคลื่น ของวันที่ 29 มิ.ย.นี้หรือไม่ และหน้าที่ของ กสทช.เอง ก็ต้องพิสูจน์ความโปร่งใสให้เกิดขึ้น เพราะนอกจากเรื่องนี้ เรายังมีคำถามถึงราคาตั้งต้นในการประมูลคลื่น ทั้ง 4 ย่านหลัก แต่กลับมีผู้เข้าร่วมประมูล เพียงสองเจ้าใหญ่เท่านั้น จึงอาจคาดการณ์ได้ว่า การประมูลจะจบที่ราคาตั้งต้นนี้ ยิ่งมาดูที่ตัวเลขแล้ว ก็ยังต่ำกว่าราคาที่ควรจะเป็น ขอตั้งคำถามว่า ราคานี้ชอบธรรมหรือไม่ มีที่มาอย่างไร หากไม่มีการแข่งขันจริง อะไรจะเป็นหลักประกันให้กับประชาชนว่า จะสามารถได้รับบริการทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่มั่นคง และเป็นธรรม ตามบทบาทหน้าที่ของ กสทช.ผู้ทำการจัดสรร

เมื่อถามถึงเบาะแส หรือการทุจริต ภายใน กสทช. น.ส.ภคมน เปิดเผยว่า อยากให้ทุกคนติดตามอนุกรรมการที่ 4 และ 5 ซึ่งเกี่ยวข้องกับกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) หรือกองทุนยูโซ่ (USO) ที่มีการบริหารเงินปีละ 5 พันล้านบาท ล่าสุด ตนได้รับหลักฐานว่า อาจมีความเกี่ยวข้องกันในการฮั้วประมูล ตกลงกันในการให้ทุนของกองทุนนี้ อย่างไรก็ดี เมื่อมีการรวบรวมหลักฐานเสร็จสิ้นแล้ว จะมีการเปิดเผยต่อไป ย้ำว่า กองทุนนี้ เป็นกองทุนที่ลึกลับมาก เป็นกระเป๋าเงินสำคัญของ กสทช. ที่ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบอะไร และความน่าตลกคือ ประธานของกองทุนนี้ คือประธาน กสทช. ซึ่งคงไม่ต้องคาดหวังเรื่องการตรวจสอบเลย นอกจากนั้น กองทุนนี้ยังเป็นกองทุนที่ตั้งขึ้นมาเพื่อหลีกเลี่ยงการประมูล เลือกจ้างได้แบบเฉพาะเจาะจง โดยวิธีการให้ทุนไปผลิต

- Advertisment -spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img