แม้ว่า…ปัญหาสงครามราคายานยนต์ไฟฟ้า หรือ “รถอีวี” จะกลายเป็นผลดีสำหรับผู้บริโภค เพราะสามารถหาซื้อได้ในราคาไม่แพงและยังเป็นไปตามที่รัฐบาลต้องการ
รัฐบาลได้วางเป้าหมายประเทศไทย ตั้งเป้าผลิตรถอีวีให้ได้ 30% ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดภายในปี 2573 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ประเทศไทยตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 40% จากปัจจุบัน
ด้วยเพราะ “รถอีวี” นั้น สามารถครอบคลุมเป้าหมายด้าน SDG และ ESG ตั้งแต่กระบวนการผลิต ไปจนถึงการใช้งาน โดยเฉพาะในเรื่องของการ ลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับรถยนต์สันดาป
ดังนั้นมาตรการเพื่อสนับสนุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทย จึงมีออกมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมชดเชยเงินให้ เพื่อจูงใจให้บรรดาค่ายรถยนต์ หันมาผลิตรถอีวีในไทย จนทำให้ค่ายรถยนต์จากจีนเฮโลเข้ามาลงทุนในไทยอย่างไม่ขาดสาย
ที่ผ่านมาภาครัฐ ประเมินไว้ว่า กรอบการใช้งบประมาณเพื่อดำเนินนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์อีวี จะมีอยู่ประมาณ 34,000 ล้านบาท ตลอดระยะเวลาโครงการ 4 ปี แลกกับการสร้างอุตสาหกรรม และเงินลงทุนใหม่ของประเทศ

เป้าหมายการจ่ายเงินอุดหนุนของภาครัฐ เพื่อให้ผู้ประกอบการนำเงินไปลงทุนสร้างโรงงานแบตเตอรี่, โรงงานอีวี เกิดการจ้างงานในไทย
แต่ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจโลกเปลี่ยน โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีน รวมไปถึงการประกาศ “สงครามราคารถอีวี” ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่ออุตสาหรรมรถยนต์ไทยอย่างหนักหนาสาหัส ซึ่งก็รวมถึงรถยนต์อีวี
ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ลุกลาม ส่งผลต่อค่ายรถยนต์ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะ ค่ายรถจากจีน ที่เข้ามาบุกเบิกตลาดรถอีวีในไทย จนกลายเป็นประเด็นมาตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงเวลานี้
ด้วยเพราะบริษัทแม่ที่จีน ประสบปัญหาด้านการเงิน ปรับโครงสร้างแล้ว ปรับโครงสร้างอีก ก็ยังไม่มีความคืบหน้า ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในไทย ต้องออกโรงเรียกร้องในทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพราะสารพันปัญหากำลังเกิดขึ้นกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะผู้บริโภคที่ซื้อ “รถอีวีจากค่ายนี้” ไปแล้วกว่า 2 หมื่นคัน ที่เวลานี้ก็ยังประสบปัญหากับการจดทะเบียนป้ายขาว ปัญหาศูนย์บริการ ปัญหาอะไหล่ และอีกสารพัด
ค่ายรถจีนยี่ห้อนี้ ได้เข้าร่วมมาตรการอีวี 3.0 อีวี 3.5 ของไทย เพื่อรับสิทธิประโยชน์ในทุกด้าน โดยเฉพาะในเรื่องของเงินชดเชยสูงสุดคันละ 1.5 แสนบาท
นั่นหมายความว่า…ค่ายรถแห่งนี้ ย่อมได้รับเงินชดเชยจากรัฐไปไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านบาทแล้ว แต่พอเกิดปัญหาขาดสภาพคล่องจากบริษัทแม่ แน่นอน…ย่อมส่งผลมายังบริษัทในไทย…เช่นกัน
จึงกลายเป็น “ทอล์กออฟเดอะทาวน์” อยู่ทุกวี่วัน แม้ล่าสุด บริษัทแม่จะออกแถลงการณ์ชี้แจงสถานการณ์ ว่าการปรับโครงสร้างบริษัท แม้ยังเดินหน้าต่อไปได้ดี เพียงรอแค่เวลาให้อยู่ตัวเท่านั้น เพราะเพิ่งเริ่มต้นปรับโครงสร้าง

ถามว่า…การที่รัฐบาลนำเงินภาษีของคนทั้งประเทศ เพื่อมาสนับสนุนให้ค่ายรถยนต์ลงทุนตามเงื่อนไขของมาตรการ เพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจเดินหน้า
แต่ถ้าในความเป็นจริงแล้ว เงินสนับสนุนที่ว่า กลับไม่ได้ถูกใช้ตามเป้าหมายที่คาดหวัง แต่กลายเป็นว่า ค่ายรถกลับนำเงินที่ได้ออกไปแก้ปัญหาให้บริษัทแม่ นั่นก็เท่ากับว่า เงินภาษีของคนไทยต้องสูญเสียไปโดยใช่เหตุหรือไม่
ปัญหาเหล่านี้ ผู้เสียภาษีก็ต้องย้อนกลับไปตั้งคำถามถึงภาครัฐ กับความเสี่ยงที่ประเมินต่ำเกินไป ขณะที่ผู้ใช้รถและดีลเลอร์บางส่วน ได้รับความเดือดร้อน และเงินลงทุนโรงงานใหม่ อาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง
ขณะที่ภาครัฐ!! ทำได้เพียงแค่ติดตามความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาสภาพคล่องของบริษัทอย่างใกล้ชิด แต่ไม่สามารถฟ้องร้อง เรียกเบี้ยปรับและเงินเพิ่มได้จนกว่าจะครบกำหนดตามเงื่อนไข ในเดือน ธ.ค.นี้
เรียกได้ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นกลายเป็น ปัญหาที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะในเมื่อผู้ผลิตไม่มีเงิน จะไปไล่บี้ไล่เบี้ยกับใคร แล้วเมื่อไหร่คดีจะสิ้นสุด ที่สำคัญ…หากปล่อยให้ล้ม ปัญหาความเชื่อมั่นในอุตสาหกรรมรถอีวีหรือไม่
แล้ว!! สุดท้ายแล้วจะส่งผลเป็นโดมิโน่ หรือไม่? แต่ในอีกทาง ก็ปฎิเสธไม่ได้เช่นกันว่า การกระโดดเข้าไปโอบอุ้มเช่นนี้ จะกลายเป็นตัวอย่างให้รายอื่นเลียนแบบหรือทำตาม กลายเป็น โมรัล ฮาซาร์ด หรือไม่?
ทั้งหมดเป็นเรื่อที่น่าคิด และต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดว่า ปัญหาเรื่องรถอีวีในไทยจะลุกลามกลายเป็นระเบิดลูกใหม่ของไทย!
…………..
คอลัมน์ : EC Focus by Virgo