สถานการณ์ล่าสุดเกี่ยวกับ “คดีฮั้วเลือก สว.” หรือการ “สมคบคิด” เพื่อให้ได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) กำลังเป็นประเด็นที่ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด
คดีนี้มีการดำเนินคดีร่วมกันระหว่าง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ซึ่งทาง DSI ได้พบว่า มีการกระทำความผิดทางอาญาจริง จึงได้เสนอให้ คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) รับคดีนี้เป็น “คดีพิเศษ” โดยพิจารณาว่า เข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงิน เนื่องจากมีการใช้เงินกว่า 300 ล้านบาทในกระบวนการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา
หลายฝ่ายได้ชี้ให้เห็นถึงความผิดปกติและข้อกังขาในกระบวนการเลือก สว.2567 ที่ใช้ระบบ “แบ่งกลุ่ม” และ “เลือกกันเอง” ตามรัฐธรรมนูญ 2560 และ พรป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งวุฒิสภา พ.ศ.2561

โดยเบื้องต้น “ดีเอสไอ” พบข้อพิรุธที่สำคัญ ได้แก่…
1.กระบวนการซับซ้อนและขาดความโปร่งใส ระบบการเลือก สว. ถูกออกแบบมาให้ซับซ้อนและเข้าใจยาก โดยเน้นการ “เลือกกันเอง” บางฝ่ายมองว่า เป็นการกีดกันประชาชนส่วนใหญ่ออกจากการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
2.กกต. ไม่ได้อธิบายกติกาให้ชัดเจน เช่น นิยามคุณสมบัติผู้สมัครในแต่ละกลุ่ม หรือวิธีการแนะนำตัว ทำให้เกิดความสับสน ส่งผลให้การมีส่วนร่วมในกระบวนการเลือก สว. อยู่ในระดับต่ำ
3.มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบบัตรลงคะแนนแบบ “เลือกไขว้” และวิธีการนับคะแนนกะทันหัน เพียงไม่กี่วันก่อนวันเลือกจริง สร้างความสับสนให้กับทั้งเจ้าหน้าที่และผู้สมัคร
4.การสังเกตการณ์ของประชาชนถูกจำกัดอย่างมาก โดย กกต. อนุญาตให้สังเกตการณ์ผ่านจอ CCTV เท่านั้น บางจังหวัดมอนิเตอร์ก็ดับ หรือภาพไม่ชัดเจน จึงทำให้ผู้สังเกตการณ์ไม่สามารถเห็นกระบวนการเลือกและการนับคะแนนทั้งหมดได้อย่างใกล้ชิด รวมทั้งประชาชนไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญ เช่น ข้อมูลคะแนนดิบจากการเลือกทุกระดับ หรือเอกสารแนะนำตัวของผู้สมัครได้
5.กกต. ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีความล่าช้าในการดำเนินการตรวจสอบข้อร้องเรียนกว่า 570 เรื่อง และบางเรื่องถูกยกคำร้องโดยไม่ได้ให้เหตุผล.
6.รูปแบบการลงคะแนนที่ผิดปกติ โดยเฉพาะ 8 จังหวัด ได้แก่ อยุธยา, บุรีรัมย์, สตูล, อ่างทอง, เลย, อำนาจเจริญ, ยโสธร และสุรินทร์ ที่มีผู้สมัครผ่านเข้ารอบเลือกไขว้ได้มากเป็นพิเศษถึง 286 คน และ 1 หนึ่งใน 4 ของ สว. 200 คน หรือคิดเป็นสัดส่วน กว่า 25% จำนวน 52 คน มาจาก 8 จังหวัดนี้ โดยผู้สมัครเหล่านี้ได้คะแนนนำห่างจากคนอื่นอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้ง สส. 8 จังหวัด มีฐานเสียง สส.พรรคการเมืองหนึ่ง
7.พบรูปแบบการลงคะแนนที่แปลกประหลาด คือบัตรที่เลือกผู้สมัครเหมือนกันทุกหมายเลขและเรียงลำดับเหมือนกัน และในทางสถิติแล้ว โอกาสที่จะผู้สมัคร 2 คนจะ “บังเอิญ” ลงคะแนนในบัตรเหมือนกันทั้งหมดใน 10 หมายเลขและเรียงลำดับเหมือนกัน มีเพียง 1 ใน 5,566 ล้านล้านล้านเท่านั้น
8.ในรอบเลือกกันเอง มีกลุ่มที่ได้คะแนนสูงมากๆ ระหว่าง 30-50 คะแนน ทิ้งห่างจากผู้สมัครส่วนใหญ่
9.มีผู้สมัครจำนวนมากที่ไม่มีคะแนนเลย ไม่แม้แต่จะเลือกตัวเอง ซึ่งเป็นผู้สมัครจากจังหวัดที่มี สส.จากพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค ที่มีการออกตัวไว้ว่า เป็นการ “เสียสละ”
10.ในรอบเลือกไขว้ พบผู้สมัครที่ได้คะแนน “ล้นกระดาน” เกาะกลุ่มกันอย่างน่าสังเกต กลุ่มละ 6 คนเท่าๆ กัน บางคนเรียกว่าปรากฏการณ์ “ดาวค้างฟ้า” คือผู้สมัครที่ได้คะแนน “ทิ้งห่าง” ชนะแบบลอยลำทุกระดับ จนได้เป็น สว. และส่วนใหญ่มาจากกลุ่มจังหวัด ที่ระบุไปข้างต้นดังกล่าว
ผลสุดท้าย ในการเลือกตั้ง สว.ครั้งนี้ พบว่าผู้ได้รับเลือกเป็น สว. 200 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบธุรกิจระดับ “นายทุน” 58 คน และ “อดีตข้าราชการ” 46 คน
นอกจากนี้ พบว่า สว. 120-140 คน เป็นกลุ่มที่ได้คะแนนลอยลำและถูกเรียกว่า “สว.สีน้ำเงิน” ซึ่งเชื่อกันว่ามีอิทธิพลทางการเมือง ยกตัวอย่างเช่น จังหวัดบุรีรัมย์จังหวัดเดียวมี สว.มากถึง 14 คน

แนวทางสืบสวน DSI ได้พบหลักฐานการกระทำความผิดทางอาญาจริง และระบุว่า เป็นการกระทำความผิดต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร มีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรม โดยมีการแบ่งหน้าที่กันทำ และมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ในการเตรียมโปรแกรมคำนวณการลงคะแนน หรือ “โพยฮั้ว”
ทางคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนของ กกต. ที่ทำงานร่วมกับ DSI จึงได้ออกหมายเรียก สว. ตลอดจนบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าพัวพันกับ “คดีฮั้ว สว.” ไปแล้วรวม 7 ล็อต เป็นจำนวนอย่างน้อย 162 คน โดยเฉพาะล็อตที่ 7 มีบุคคลระดับ “บิ๊กเนม” และ “หัวแถว” ของ “กลุ่มสีน้ำเงิน” รวมอยู่ด้วย
โดยเฉพาะชื่อของ “เนวิน ชิดชอบ” ครูใหญ่ภูมิใจไทย, “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย, “ไชยชนก ชิดชอบ” เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย, “ภราดร ปริศนานันทกุล” สส.อ่างทอง อีกคีย์แมนคนสำคัญ
คดีนี้ยังคงอยู่ในกระบวนการยุติธรรม โดยผู้ถูกกล่าวหายังมีสิทธิ์ต่อสู้คดี และศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด ดังนั้น ผู้ที่ถูกออกหมายเรียก ขณะนี้ยังถือเป็น “ผู้บริสุทธิ์” อยู่นั่นเอง
……………
รายงานพิเศษ : ฟำคำราม