ในที่สุด “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ในฐานะ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ก็ออกมาสยบข่าว การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) หวังดึง “รมว.มหาดไทย” หรือที่ใครเรียกกันติดปากว่า “มท.1” ซึ่งอยู่ในความดูแลของ พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้กลับมาอยู่ในความดูแลของพรรคเพื่อไทย
โดยมีชื่อ “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” รองนายกฯและรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เข้ามานั่งเก้าอี้รมว.มหาดไทยแทน เรียกว่า เป็นการหยุดกระแสข่าวการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในรัฐบาล ตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ “แพทองธาร” กล่าวภายหลังการประชุมครม. เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.ที่ผ่านมา หลังถูกสื่อตั้งถามถึงการการพูดคุยกับ “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. ซึ่งมีประเด็นเรื่องการปรับครม.หรือไม่ว่า “ยังไม่มีการพูดคุย คุยแต่เรื่องเนื้องานในนโยบายที่จะขับเคลื่อน ที่ยังติดขัดในบางจุดโดยบอกไปแล้วว่าอยากให้ขับเคลื่อนตรงไหนมากยิ่งขึ้น”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า สั่งงานกระทรวงมหาดไทยยาว สะท้อนว่า นายอนุทินจะได้อยู่ในตำแหน่ง มท.1 ต่อไปหรือไม่ “แพทองธาร” ตอบว่า “แล้วแต่จะมองในการพิจารณา เพราะแต่ละกระทรวง ไม่ว่าจะเปลี่ยนรัฐบาล หรือรัฐมนตรีเป็นใคร ก็ต้องทำงานต่ออยู่ดี”
ถามอีกว่า ก่อนร่วมรัฐบาล มีเงื่อนไขหรือไม่ว่า ใครจะได้อยู่ในตำแหน่งยาวนานแค่ไหน นายกฯ กล่าวว่า “ไม่มีเงื่อนไข คุยกันเรื่องกระทรวงเท่านั้น”

ก่อนที่เรื่องนี้จะเป็นประเด็นขึ้นมา เกิดจาก ผู้มากบารมี “ทักษิณ ชินวัตร” ไปกล่าวไว้ระหว่างเดินทางไปร่วมงานของสื่อสำนักหนึ่ง ยืนยัน ต้องการยึดคืนกระทรวงมหาดไทย หลังจากรัฐบาลเหลือเวลาการทำงานอีก 2 ปี โดยอ้างว่า ที่ผ่านมากระทรวงมหาดไทยทำงานไม่เต็มที่
การสื่อสารดังกล่าว กระทบไปถึง “อนุทิน” เต็มๆ ทั้งที่เป็นข้อตกลง ตั้งแต่การจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งปกติแล้ว “พรรคแกนนำรัฐบาล” ต้องได้ดูแล “กระทรวงมหาดไทย” แต่พอ “เพื่อไทย” ในฐานะแกนนำรัฐบาล เลือก “กระทรวงคมนาคม” จึงต้องยอมยกกระทรวงมหาดไทย ให้พรรคร่วมรัฐบาล ที่มี 71 สส. (ในเวลานั้น) เป็นกองหนุนสำคัญ และถือเป็นพรรคที่เสียงเป็นลำดับสองของพรรคร่วมรัฐบาล

ในเรื่องนี้ “อนุทิน” ให้สัมภาษณ์ถึงตำแหน่ง “รมว.มหาดไทย” ที่มีข่าวจะถูกริบคืนว่า “ให้เป็นไปตามข้อตกลง ถ้าไปดูโพลมหิดล ก็ชัดเจนดีว่า กระทรวงมหาดไทยก็ไม่ได้ทำความเสียหายใดๆ และผมก็ไม่ได้ทำความเสียหายใดๆ ให้กับรัฐบาล ตรงกันข้าม ก็สนับสนุนการทำงานของนายกฯอย่างออกนอกหน้ามาโดยตลอด ให้กำลังใจเชียร์ท่าน และพร้อมยืนอยู่เคียงข้างท่านทุกสถานการณ์ ทำทุกอย่างตามครรลองของคนที่ทำงานด้วยกัน ที่พึงจะกระทำ”
เมื่อถามว่า พรรคภูมิใจไทยพร้อมเป็นฝ่ายค้านใช่หรือไม่ ถ้าไม่ได้กระทรวงมหาดไทย “อนุทิน” ตอบเสียงแข็งว่า “ใช่ครับ เป็นไปตามข้อตกลงของการจัดตั้งรัฐบาล”
ถามอีกว่า การยังคงอยู่ที่กระทรวงมหาดไทย ถือว่าเป็นเงื่อนไขเดียวที่ตอกฝาโลงเลยหรือไม่ “อนุทิน” บอกว่า “ณ ขณะนี้ นอกจากว่าจะมีทางใหม่ รื้อใหม่หมด ทุบใหม่หมด คุยกัน ไม่แยกคุย แต่เป็นการคุยกันเลยว่า พรรคร่วมรัฐบาลชุดนี้เอาอย่างไร อันนั้นเราก็มีเหตุมีผล ผมก็ไม่ได้เป็นคนดื้ออะไร ถ้าไม่ได้ต้องมีเหตุมีผลคุยกับนายกฯก็มีเหตุมีผลอยู่แล้ว”
แปลความหมายได้ชัดเจน ถ้าหาก “พรรคเพิ่อไทย” ยึดคืนกระทรวงมหาดไทย “พรรคภูมิใจไทย” จะขอแยกไปทำหน้าที่ “ฝ่ายค้าน” ซึ่งในสถานการณ์อย่างนี้ ต้องยอมรับ “พรรคเพื่อไทย” เหนื่อยแน่ๆ นอกจากจะถูกตรวจสอบจาก “พรรคประชาชน” (ปชน.) ยังถูกอดีตเพื่อนร่วมงานไล่บี้อีก อีกทั้งเสียงของรัฐบาลก็อยู่ใน “ภาวะปริ่มน้ำ” อาจ “ตกม้าตาย” ในวันใดวันหนึ่ง
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า กระทรวงมหาดไทยมีบทบาทสำคัญในการสร้างคะแนนนิยมในการเลือกตั้ง เพราะมีอำนาจดูแลข้าราชการฝ่ายปกครอง ทั้งผู้ว่าราชการ-นายอำเภอ-กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และยังมีบทบาทช่วยสนับสนุนการจัดการเลือกตั้ง ทำให้หลายพรรคการเมือง ต้องการเข้ามารับผิดชอบดูแลหน่วยงานนี้
อีกทั้งในระหว่าง “พรรคภูมิใจไทย” ดูแลกระทรวงนี้ ก็จัดวางบุคคลสำคัญไว้ ตั้งแต่ระดับปลัดกระทรวง และตำแหน่งต่างๆ หลายตำแหน่ง เวลา “พรรคสีน้ำเงิน” ไปดูแลหน่วยงานไหน มักจะได้ใจข้าราชการประจำและเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งมีส่วนช่วยเหลือในการเลือกตั้ง
อย่างเช่นในอดีต สมัย “พรรคภูมิใจไทย” ดูแลกระทรวงสาธารณสุข “อนุทิน” ก็ดึง “อสม.” (อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน) มาช่วยเป็นฐานคะแนนเสียง ซึ่งอาจทำให้ “พรรคเพื่อไทย” วิตกกังวล เพราะฐานเสียงพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทยอยู่ในพื้นที่ภาคอีสาน
หากพรรคไหนโต พรรคคู่แข่งก็ต้องเล็กตามไปด้วย ซึ่งทั้งสองพรรคยังต้องพึ่งพา “บ้านใหญ่” ยิ่งพรรคแกนนำรัฐบาลตั้งเป้าที่จะได้สส.ในการเลือกตั้งครั้งหน้า 200 เสียง ทุกพื้นที่ทุกจำนวนสส. จึงต้องแย่งชิงมาให้ได้มากที่สุด
ขณะที่การจัดงบประมาณปี 2569 “กระทรวงมหาดไทย” ได้รับการจัดสรรงบประมาณ 301,265 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6,852.3 ล้านบาท คิดเป็น 2.3% จากปีงบประมาณ 2568 โดยงบประมาณส่วนใหญ่เป็น “เงินอุดหนุน” ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (ปภ.) จำนวน 176,869.5 ล้านบาท ซึ่ง “งบประมาณ” มีส่วนสำคัญในการผลักดันโครงการต่างๆ ได้ทั้งผลงานและคะแนนนิยม
ส่วนเป้าหมายของ “พรรคเพื่อไทย” หวังใช้ “กระทรวงมหาดไทย” มาช่วยเป็นกลไกสำคัญในการปราบปรามยาเสพติด เพื่อนำมาไปใช้เป็นผลงานในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งหน้า เพราะหากจะหวังผลงานด้านเศรษฐกิจ อาจไม่สามารถนำมาเป็นจุดขายได้ ดังนั้นการนำเรื่อง “ปัญหาสังคม” มาเป็น “จุดขาย” ในการบอกกล่าวกับประชาชน อาจเป็นเรื่องที่แกนนำพรรคเพื่อไทยมุ่งหวังไว้
นอกจากนี้ก่อนที่ “หัวหน้ารัฐบาล” จะออกมาปฏิเสธข่าวการปรับครม. ยังมีรายงานว่า จะมีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งสำคัญคือ “รมว.มหาดไทย” โดยพรรคเพื่อไทยจะเข้าบริหารเอง ส่วนกระทรวงที่พรรคเพื่อไทยเสนอแลกกับพรรคภูมิใจไทย คือ “รมว.สาธารณสุข” รวมทั้งเพิ่มตำแหน่ง “รมว.พาณิชย์” อีกตำแหน่ง
แต่พรรคภูมิใจไทยไม่ยอมรับเงื่อนไขดังกล่าว โดย “อนุทิน” สื่อสารผ่านสาธารณะด้วยว่า หากมีการยึดคืนกระทรวงมหาดไทยก็พร้อมจะไปทำหน้าที่ “พรรคฝ่ายค้าน”
ซึ่งอาจเป็นประเด็นที่ทำให้ “ทักษิณ ชินวัตร” มีความกังวล แม้ว่า รัฐบาลจะยังมีเสียงเกินกึ่งหนึ่ง แต่ก็เป็นจำนวนไม่มากหนัก อาจเผชิญอุบัติเหตุทางการเมืองได้ตลอดเวลา โดยรัฐบาลมีเสียงสนับสนุนประมาณ 330 เสียง ถ้าหักเสียงพรรคภูมิใจไทย 69 เสียง จะเหลือแค่ 261 เสียง

แต่ต้องไม่ลืมว่า มีปัญหาความขัดแย้งใน “พรรครวมไทยสร้างชาติ” (รทสช.) ซึ่งมี สส.อยู่ 36 เสียง ซึ่งกลายเป็น “พรรคอกแตก” โดยขั้ว “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รองนายกฯและรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค และ “เอกนัฏ พร้อมพันธ์ุ” รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรค ยังมีสส. อยู่ในความดูแล 18 คน
เพราะขั้ว “สุชาติ ชมกลิ่น” รมช.พาณิชย์ ในฐานะรองหัวหน้าพรรค ก็ประกาศตั้ง “กลุ่ม 18 พร้อมขอ “แยกทางเดิน” กับ “กลุ่มพีระพันธุ์” ซึ่งนาทีนี้ต้องบอกว่า “สุชาติ” ได้เปรียบ เนื่องจากได้รับการสนับสนุนจาก “นายทุนคนสำคัญ” ที่มีความใกล้ชิดทักษิณ
ดังนั้นหากมีการปรับครม. เชื่อว่า “สุชาติ” คงต้องการต้องการอัพเกรดเป็น “รัฐมนตรีว่าการ” ส่วน “นายทุนคนสำคัญ” ก็อยากได้ “กระทรวงพลังงาน” ให้กลับมาอยู่ในความดูแลของ “คนที่ไว้วางใจ” แต่ “วิทยา แก้วภราดัย” สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งอยู่ในสายเดียวกับหัวหน้าพรรค ออกมายืนยันว่า หากถูกยึดโควตา รมว.พลังงาน และรมว.อุตสาหกรรม ก็พร้อมเป็น “ฝ่ายค้าน”
นั่นหมายความว่า เสียงของรัฐบาลแพทองธาร ก็จะเหลือ (261-18) 243 เสียง…เท่านั้น
ขณะที่องค์ประชุมสภาฯ กึ่งหนึ่งคือ 248 เสียง จากสส.ในสภา 495 เสียง นั่นหมายความว่า รัฐบาลจะตกมาอยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยงเสียงข้างน้อย ไม่นับ สส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อีก 5 คน นำโดย “ชวน หลีกภัย” อดีตนายกฯ ซึ่งมักออกเสียงสวนทางพรรคต้นสังกัดตลอด เพราะไม่เห็นด้วยกับการร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ที่อาจยกมือสวนในวาระสำคัญ ทำให้รัฐบาลมีปัญหาเสียงข้างน้อยในสภาฯทันที จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พรรคเพื่อไทยไม่กล้าแตกหักกับพรรคภูมิใจไทย…ก็ได้
ที่ผ่านมา การทำงานของรัฐบาลก็ไม่ได้สร้างความพอใจให้กับประชาชน โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งมีแต่เสียงบ่นของผู้บรรดาผู้ประกอบธุรกิจ ทั้งด้านอาหารและการผลิตสินค้า นอกจากนี้รัฐบาลยังยกเลิกการแจกเงินหมื่น หลังแจกประชาชนไปเพียงสองกลุ่ม ซึ่งทำขัดกับนโยบายที่หาเสียงไว้
นอกจากนี้การเผชิญ ปัญหาความขัดแย้งกับประเทศกัมพูชา รัฐบาลแพทองธารก็ถูกวิจารณ์ ทั้งการรับมือและการสื่อสาร ตกเป็นรองประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ถูกมองว่า ด้วยความสัมพันธ์ของ “ทักษิณ” กับ “สมเด็จฮุนเซน” ประธานวุฒิสภา ทำให้รัฐบาลไทยมีความเกรงใจ ไม่กล้าตอบโต้ ส่งผลให้ “กระแสนิยม” ตกไปอยู่กับ “กองทัพ” ที่เดินเกมตอบโต้อย่าง “ตาต่อตา-ฟันต่อฟัน”
ที่ตอกย้ำไปกว่านั้นคือ เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.ที่ผ่านมา “รศ.ดร.สุณีย์ กัลป์ยะจิตร” และ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยผลสำรวจประเด็น “คนไทยต้องการปรับ ครม.หรือไม่” โดยเป็นการสำรวจทางโทรศัพท์ (phone survey) ใช้แบบสัมภาษณ์ผ่านช่องทางออนไลน์จากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 11,802 ตัวอย่าง ในช่วงระหว่างวันที่ 5-11 มิ.ย.68
โดยมีคำถามว่า “ท่านต้องการให้มีการปรับครม.หรือไม่” ปรากฏว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 87.6 ระบุว่าต้องการให้มีการปรับ ครม. ซึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้ประชาชนต้องการให้มีการปรับ ครม. สะท้อนถึง “ความไม่พอใจในประสิทธิภาพการทำงาน” โดยรวมของ “รัฐบาลแพทองธาร”
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแก้ปัญหาเศรษฐกิจและปากท้อง การขาดภาวะผู้นำ และความชัดเจนในการบริหาร การไม่ทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ รวมถึงปัญหาด้านการทุจริต ความไม่โปร่งใส และการไม่ตอบสนองต่อปัญหาและความต้องการของประชาชน โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการและคุณภาพชีวิต รวมถึงปัญหาเฉพาะพื้นที่ อย่างปัญหาพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นต้น
ขณะที่มีเพียงร้อยละ 12.4 ระบุว่า ไม่ต้องการให้มีการปรับครม.

การสำรวจยังสอบถามถึงกระทรวงที่ต้องการให้มีการปรับครม.มากที่สุด 5 อันดับ พบว่า เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด หรือร้อยละ 46.75 ต้องการให้มีการปรับเปลี่ยน ครม.ในส่วนของ “กระทรวงกลาโหม” มากเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาอันดับ 2 คือ กระทรวงการคลัง ร้อยละ 41.86 อันดับ 3 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร้อยละ 38.26 อันดับ 4 กระทรวงการเกษตรและสหกรณ์ ร้อยละ 28.93 อันดับ 5 มีสัดส่วนใกล้เคียงกัน คือ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร้อยละ 27.89 และ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร้อยละ 27.88 ตามลำดับ
สําหรับ กระทรวงมหาดไทย ที่เป็นเป้าหมายในการปรับ ครม.ครั้งนี้ ผลสำรวจพบว่า อยู่ในอันดับที่ 12 ของกระทรวงที่อยากให้มีการปรับ ร้อยละ 18.03 นั่นหมายความว่า ถ้ารัฐบาลต้องการปรับ ครม. ในส่วนของกระทรวงมหาดไทย เท่ากับไม่ตอบสนองคววามสนองตอบความต้องการของประชาชน
อย่างไรก็ตาม อาจมี “จุดเปลี่ยนทางการเมือง” หลัง คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนส่วนกลาง คณะที่ 26 ของ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ กกต.และเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ร่วมกันเป็นคณะทำงาน ได้ออกหมายเรียกบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่า อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับ “ขบวนการฮั้ว สว.” ล็อตที่ 7 จำนวน 20 คน ที่ส่วนใหญ่เป็นแกนนำพรรคภูมิใจไทยและคนใกล้ชิด เช่น “ครูใหญ่-เนวิน ชิดชอบ” “มท.1-อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรค “ภราดร ปริศนานันทกุล” สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทยและรองประธานสภาฯ “ไชยชนก ชิดชอบ” เลขาธิการพรรค
เพราะถ้า “ผลสอบสวนสืบสวน” ออกมา “เป็นลบ” ย่อมส่งผลกระทบกับ พรรคภูมิใจไทย และสถานะการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล
ต้องยอมรับพรรคเพื่อไทย มีทางเลือกไม่มากนัก เพราะถ้าจะใช้ “ยุทธการดูดสส.ต่างพรรค” เพื่อหาเสียงมาสนับสนุนรัฐบาลในสภาฯ ย่อมถูกวิจารณ์ในทางลบ แต่หากตัดสินปล่อยให้พรรคภูมิใจไทยไปเป็นฝ่ายค้าน ก็สุ่มเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุในสภาฯ หรือถ้าจะตัดสินใจยุบสภาฯ หนทางที่พรรคเพื่อไทยจะคว้าชัยชนะ ต้องบอกว่า แทบจะปิดตาย
ยิ่ง “อนุทิน” ออกมาระบุชัด “ไม่ปิดทางกับการร่วมงานกับพรรคสีส้ม” แถมไม่กี่วันที่ผ่านมา ยังปรากฏภาพ “พรรคภูมิใจไทย” จะดึง “สันติ พร้อมพัฒน์” แกนนำกลุ่มมะขามหวาน พร้อม 6 สส. พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และ 2 สส.พรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) เข้ามาร่วมงานด้วย ยิ่งสะท้อนถึง “วิบากกรรม” ที่กำลังไล่ล่า “ทักษิณ” เพราะวันนี้…พรรคแกนนำรัฐบาลยิ่งดิ้น-ยิ่งเจ็บ
……………………………………….
คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก
โดย….“แมวสีขาว”