วันพุธ, มิถุนายน 18, 2025
หน้าแรกHighlightเงินบาทอ่อนค่าเล็กน้อย-ดอลลาร์แข็งขึ้น หลังBOJคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ0.50%
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

เงินบาทอ่อนค่าเล็กน้อย-ดอลลาร์แข็งขึ้น หลังBOJคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ0.50%

เงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.60 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” หลังเงินดอลลาร์แข็งแรงหนุนจากการทยอยอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น หลัง BOJ คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.50%

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.60 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.55 บาทต่อดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงเล็กน้อย ในลักษณะ Sideways Up (แกว่งตัวในกรอบ 32.48-32.64 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่แม้จะเผชิญแรงกดดันจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯส่วนใหญ่ ที่ออกมาแย่กว่าคาด อาทิ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนพฤษภาคม หดตัว -0.9%m/m และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) เดือนพฤษภาคมก็หดตัว -0.2%m/m

โดยเงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนบ้างจากความต้องการถือครองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) หลังผู้เล่นในตลาดต่างกังวลว่า สหรัฐฯอาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการสู้รบระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล จนส่งผลให้สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางทวีความรุนแรงและลุกลามบานปลายได้ นอกจากนี้เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากการทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่สามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 145 เยนต่อดอลลาร์ หลังธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.50% พร้อมส่งสัญญาณไม่เร่งรีบปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ทั้งนี้ แรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาท ก็ถูกชะลอด้วยการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) เข้าใกล้โซนแนวต้าน 3,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่อาจทวีความรุนแรงมากขึ้น หากสหรัฐฯเข้ามามีส่วนร่วม

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงอีกครั้ง ท่ามกลางความกังวลว่า สหรัฐฯอาจเข้าไปมีส่วนร่วมในการสู้รบระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล จนทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งดังกล่าวอาจทวีความรุนแรงมากขึ้นได้ นอกจากนี้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ที่ออกมาแย่กว่าคาด ก็มีส่วนกดดันบรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.84%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวลง -0.85% หลังผู้เล่นในตลาดกลับมากังวลสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางอีกครั้ง ท่ามกลางความเสี่ยงว่าสหรัฐฯอาจเข้าไปมีส่วนร่วมในความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ Shell +1.3% ตามอานิสงส์การปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบ

ในส่วนตลาดบอนด์ บรรยากาศในตลาดการเงินที่พลิกกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงอีกครั้ง ได้กดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.39% ทั้งนี้การปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯก็เป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นผลการประชุม FOMC ของเฟดที่จะถึงนี้ โดยเรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯอาจมีความเสี่ยงปรับตัวสูงขึ้นได้บ้างในระยะสั้น หาก Dot Plot ใหม่ของเฟด สะท้อนว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยลงในปีนี้ (และอาจรวมถึงในปีหน้า) จากที่เคยประเมินไว้ และน้อยกว่าที่ตลาดกำลังคาดหวังอยู่ ทำให้เราคงแนะนำให้ผู้เล่นในตลาดรอจังหวะทยอยเข้าซื้อสะสมบอนด์ระยะยาวสหรัฐฯ ในช่วงบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะในโซน >= 4.50%

ทางด้านตลาดค่าเงินนั้นพบว่า เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง หลังสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น ได้หนุนความต้องการถือครองเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะเดียวกัน เงินดอลลาร์ก็พอได้แรงหนุนเพิ่มเติมตามการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) จากแนวโน้มการไม่เร่งรีบขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ทั้งนี้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ที่ออกมาแย่กว่าคาดได้จำกัดการปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 98.8 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.0-98.9 จุด)

ส่วนของราคาทองคำ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่พร้อมจะทวีความรุนแรงได้ทุกเมื่อ ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.2025) มีจังหวะรีบาวด์สูงขึ้น สู่โซน 3,400-3,420 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่การประชุม FOMC ของเฟด ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วง 01.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ของเช้าวันที่ 19 มิถุนายน โดยผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นการปรับคาดการณ์เศรษฐกิจและคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรือ Dot Plot ใหม่ของเฟด

ส่วนยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของอังกฤษในเดือนพฤษภาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ที่ล่าสุดผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า BOE อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้อีกราว 2 ครั้ง ครั้งละ 25bps ในปีนี้ นอกจากนั้นผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ส่วนเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาการประชุมธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากระดับ 5.50% หรือไม่

นอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับบรรดาประเทศคู่ค้า อย่างจีน รวมถึงสถานการณ์ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง อย่างการสู้รบระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท อาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways ไปก่อนได้ เพราะแม้ว่าเงินดอลลาร์จะทยอยกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง จากความต้องการถือครองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ทว่า ความกังวลดังกล่าวก็ยังพอช่วยหนุนให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นด้วยเช่นกัน นอกจากนี้การอ่อนค่าลงของเงินบาทเข้าใกล้โซนแนวต้าน 32.60 บาทต่อดอลลาร์ อาจเปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วน ทยอยขายเงินดอลลาร์ หรือปิดสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) ที่เริ่มเปิดสถานะดังกล่าวกันมาบ้าง ท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง

ทั้งนี้ ในช่วงระหว่างวัน เงินบาทก็อาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติมได้ หากบรรยากาศปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม กดดันให้ บรรดานักลงทุนต่างชาติทยอยขายสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้น นอกจากนี้การปรับตัวขึ้นแรงอีกครั้งของราคาน้ำมันดิบจากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ก็อาจเพิ่มแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาท ผ่านโฟลว์ธุรกรรมที่เกี่ยวกับน้ำมันดิบได้

อย่างไรก็ตาม เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่รีบปรับสถานะถือครองสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อรอลุ้นผลการประชุม FOMC ของเฟด โดยเรากังวลว่า แม้เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25-4.50% ตามคาด แต่หากคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย หรือ Dot Plot ใหม่ ส่งสัญญาณว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ตลาดประเมินไว้ ก็อาจหนุนให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น ในทางกลับกัน หาก Dot Plot ใหม่ สะท้อนว่า เฟดอาจมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยได้มากกว่าที่ตลาดประเมินไว้ โดยเฉพาะในปีหน้า รวมถึงแนวโน้มดอกเบี้ยในระยะยาว (Long-run Policy Rate) ก็อาจกดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯย่อตัวลงต่อ พร้อมกับการอ่อนค่าลงบ้างของเงินดอลลาร์ได้

และที่สำคัญขอเน้นย้ำว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด เนื่องจากสถิติย้อนหลังตั้งแต่ปี 2022 (เพื่อให้ข้อมูลมากพอ จนมีนัยเชิงสถิติ) ชี้ว่า เงินบาท (USDTHB) อาจมีการแกว่งตัวในระดับ +/- 1SD ได้ราว +/-0.30% ในช่วง 30 นาที หลังตลาดรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด

การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ อย่าง เงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน ทำให้เราคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.40-32.75 บาทต่อดอลลาร์

- Advertisment -spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img