นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) “การเชื่อมโยงและปรับปรุงฐานข้อมูลประชาชนในกลุ่มเปราะบางและกลุ่มคนพิการ และการจัดทำฐานข้อมูลผู้สูงอายุตามสิทธิสวัสดิการที่จะได้รับรายบุคคลเพื่อบูรณาการข้อมูลจากทุกภาคส่วนที่ขับเคลื่อนงานด้านผู้สูงอายุ”
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 17 มิ.ย.ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ “การเชื่อมโยงและปรับปรุงฐานข้อมูลประชาชนในกลุ่มเปราะบางและกลุ่มคนพิการ และการจัดทำฐานข้อมูลผู้สูงอายุตามสิทธิสวัสดิการที่จะได้รับรายบุคคลเพื่อบูรณาการข้อมูลจากทุกภาคส่วนที่ขับเคลื่อนงานด้านผู้สูงอายุ” ระหว่าง 29 ฝ่าย ประกอบด้วย 15 กระทรวง 14 หน่วยงาน โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.กลาโหม นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และนายเดชอิศม์ ขาวทอง รมช.สาธารณสุข ร่วมเป็นสักขีพยาน โดยก่อนพิธีลงนามฯ นายวราวุธ นายกฯ เยี่ยมชมนิทรรศการด้านข้อมูล One Data : All Right พร้อมกล่าวรายงาน

จากนั้นนายกฯ กล่าวว่า นับเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยที่จะวางรากฐานในเรื่องของข้อมูล เพื่อจะยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเปราะบาง ซึ่งจากที่ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้พาดูบูธจากกระทรวงต่างๆ ถือว่าเป็นการรวบรวมข้อมูลที่มีประโยชน์ของประชาชนในกลุ่มเปราะบาง ซึ่งทำให้มีฐานข้อมูลที่ใหญ่ขึ้น และชัดเจนขึ้น หาง่ายขึ้น และลดเรื่องความซ้ำซ้อนได้ การเชื่อมโยงข้อมูลเข้าหากัน เป็นสิ่งที่ทำให้รัฐประหยัดเวลา ช่วยเหลือประชาชนได้ตรงเป้าหมายและตรงกลุ่มมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ในการที่เรามีข้อมูลร่วมกันและทำงานร่วมกันแบบบูรณาการจะลงไปใน 3 มิติสำคัญคือ 1. ลดความซ้ำซ้อน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ในการใช้งบประมาณและทรัพยากรของรัฐให้คุ้มค่า รวมถึงการลงพื้นที่ตรวจสอบสิ่งต่างๆ ก็ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการลดภาระทางการคลังของภาครัฐ

นายกฯ กล่าวต่อว่า 2.การสร้างความเป็นธรรม ลดการตกหล่นของประชาชนในการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน หลายครั้งที่ผ่านมา เราจะพบว่ามีผู้ที่สมควรได้รับการช่วยเหลือ สมควรที่จะได้รับการสนับสนุนต่างๆจากรัฐ แต่รายชื่อนั้นกลับไม่อยู่ในระบบ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่มีความยากจนแต่ไม่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือคนพิการที่ไม่เคยขึ้นทะเบียนผู้พิการ ซึ่งตรงนี้จะทำให้กลุ่มคนเหล่านี้ที่ตกหล่นไปอยู่ในสายตาของรัฐมากยิ่งขึ้น และ3.การส่งเสริมศักยภาพของประชาชนอย่างตรงจุดด้วยข้อมูลแบบรายบุคคลและรายพื้นที่ ถ้าเรามีข้อมูลพื้นที่ต่างๆว่ามีกลุ่มเปราะบางกี่คนและอยู่ตรงไหนบ้าง ก็จะทำให้รัฐสามารถช่วยเหลือได้ ไม่ว่าจะเป็นการจำแนกว่ามีผู้ป่วยติดเตียงเท่าไหร่ การจัดสรรเรื่องเครื่องมือต่างๆ ก็จะไปถึงอย่างครบถ้วนและเพียงพอกับคนที่เป็นกลุ่มเปราะบาง ตรงนี้ก็จะส่งเสริมให้กลุ่มเปราะบางเข้าถึงและมีอาชีพมากยิ่งขึ้นก็เป็นการช่วยการหาเลี้ยงชีพตัวเองและครอบครัว
นายกฯ กล่าวอีกว่า เรื่องการขอสวัสดิการของรัฐต่างๆ บางท่านทราบอยู่แล้วว่า จะต้องยื่นเอกสารหลายที่ ตรงนี้ก็รัฐบาลก็รีบทำนโยบายนี้ ให้การยื่นเอกสาร การขอสวัสดิการของรัฐใช้เวลาน้อยลง และสะดวกสบายกับประชาชนมากยิ่งขึ้นเพื่อประหยัดเวลา ในนามของนายกฯ ตนต้องขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และขอแสดงความยินดีกับทุกท่าน ที่วันนี้เรามีระบบบิ๊กดาต้ารวมข้อมูลของประชาชน เพื่อเข้าถึงสวัสดิการของรัฐอย่างทั่วถึง.