“พิชัย” เผยโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.15 แสนล้าน เตรียมเสนอครม.สัปดาห์หน้า หวังแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เสริมสร้างศักยภาพ และความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จะเสนอแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจวงเงิน 115,000 ล้านบาท จากโครงการที่เสนอเข้ามาทั้งหมดกว่า 400,000 ล้านบาท เข้าที่ประชุมครม.ในสัปดาห์หน้า เพื่อให้สามารถเริ่มดำเนินโครงการ และผูกพันงบประมาณได้ภายในวันที่ 30 ก.ย.2568
โดยโครงการที่ผ่านการอนุมัติมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เสริมสร้างศักยภาพ และความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว การกลั่นกรองเป็นไปอย่างระมัดระวัง โดยมีหลักเกณฑ์ 8 ข้อ สำหรับการพิจารณางบกลาง และกำหนดประเภทโครงการที่ไม่ควรดำเนินการ เพื่อให้เกิดการจ้างงานอย่างแท้จริง
สำหรับการจัดสรรงบประมาณ 115,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 4 ด้านหลัก ดังนี้ 1.ด้านโครงสร้างพื้นฐาน 85,000 ล้านบาท (73.7%) แบ่งเป็น โครงการน้ำ 39,136 ล้านบาท (33.9%) เน้นน้ำเพื่อการบริโภค ป้องกันน้ำท่วม และสะสมน้ำเพื่อการเกษตร และโครงการคมนาคม 45,864 ล้านบาท (39.8%) เน้นการปรับปรุงถนนเพื่อเชื่อมโยงเมืองหลักสู่เมืองรองเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว รวมถึงปรับปรุงเพื่อความปลอดภัย และซ่อมแซมถนนที่ชำรุด 2.ด้านการท่องเที่ยว 10,053 ล้านบาท (8.7%) 3.ด้านการส่งออก ผลิตภาพ 11,122 ล้านบาท (9.6%) รวมถึงมาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือการส่งออก 4.ด้านเศรษฐกิจชุมชน และอื่นๆ 9,201 ล้านบาท (8%) โดยโครงการที่ได้รับพิจารณาเน้นการ กระจายการลงทุนไปทั่วประเทศ ครอบคลุมเกือบทุกจังหวัดและทุกอำเภอ โดยคำนึงถึงรายได้ต่อหัวของประชากรในแต่ละจังหวัด เพื่อจัดสรรเงินให้จังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำในสัดส่วนที่สูงกว่า
ทั้งนี้คาดว่าจะช่วย สร้างงานได้ประมาณ 6-7 ล้านคน และ เพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ได้ประมาณ 0.4% แม้ว่าหากสามารถดำเนินโครงการได้เต็มวงเงิน 157,000 ล้านบาท อาจเพิ่ม GDP ได้ถึง 0.5-0.6% แต่เมื่อหักผลกระทบจากมาตรการที่เคยดำเนินการไปแล้ว คาดว่า GDP จะเพิ่มขึ้นสุทธิ 0.4%
โดยนายกฯ ได้กำชับให้ทุกโครงการเป็นไปตามกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยเจ้ากระทรวงต้นสังกัดที่มีหน่วยงานผู้ขอรับงบประมาณอยู่ จะต้องกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด และหากพบความผิดปกติหรือไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ ให้รายงานเพื่อพิจารณาไม่ใช้หรือระงับงบประมาณทันที
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ยังได้มีมติให้มีการแต่งตั้ง คณะอนุกรรมการกำกับติดตาม และประเมินผล เพื่อตรวจสอบ และยืนยันความสำเร็จ และดำเนินโครงการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ และป้องกันการทุจริต
สำหรับงบประมาณที่เหลืออยู่ประมาณ 40,000 ล้านบาท จะมีการพิจารณาโครงการที่เสนอจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชุมชน วงเงินประมาณ 60,000 ล้านบาท ซึ่งอาจมีบางส่วนที่ยังไม่ผ่านหลักเกณฑ์หรือซ้ำซ้อน โดยจะถูกนำกลับมาพิจารณาอีกครั้งว่ามีโครงการใดที่ตกหล่น และสมควรได้รับการลงทุน อย่างไรก็ตาม หากไม่ได้ใช้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งหมดก็ไม่เป็นไร และงบประมาณที่เหลือก็จะเป็นผลดีต่อรัฐบาลในการลดภาระหนี้สิน