วันศุกร์, มิถุนายน 20, 2025
หน้าแรกHighlight“เรืองไกร”ยื่นกกต.สอบ“อิ้งค์”ไม่ซื่อสัตย์ ปมดีลลับ“ฮุนเซน”จี้ให้“ลาออก–ยุบสภา”
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“เรืองไกร”ยื่นกกต.สอบ“อิ้งค์”ไม่ซื่อสัตย์ ปมดีลลับ“ฮุนเซน”จี้ให้“ลาออก–ยุบสภา”

‘เรืองไกร’ มาตามนัด ยื่นกกต.สอบ ‘อิ้งค์’ ไม่ซื่อสัตย์ ปม ดีลลับ ‘ฮุนเซน’ ส่อหลุดนายกฯ อ้างเทคนิคเจรจาฟังไม่ขึ้น คนไทยไม่ทน ให้ 2 ทางเลือก ‘ลาออก –ยุบสภา’ ย้ำจุดยืนค้านรัฐประหาร

เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 68 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) เดินทางมายื่นหนังสือเพื่อขอให้ กกต.ตรวจสอบ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า มีความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ อันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) หรือไม่ และเข้าข่ายเป็นเหตุให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 (4) หรือไม่ กรณีมีการเผยแพร่คลิปเสียงสนทนากับสมเด็จ ฮุนเซน ตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา

นายเรืองไกร กล่าวว่า ที่ตนมายื่นหนังสือวันนี้เพราะเห็นว่าเป็นกรณีเร่งด่วน เนื่องจากตรวจสอบแล้วว่าคลิปเสียง และนายกฯ ได้ยอมรับเองว่าเป็นคลิปเสียงการพูดคุยกับสมเด็จฮุนเซนจริง ถือเป็นหลักฐานสำคัญ ที่ทำให้ตนต้องมายื่นร้องต่อกกต.ว่าพฤติกรรมดังกล่าว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 (4) ระบุว่า เหตุความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว เนื่องจากความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ โดยศาลรัฐธรรมนูญได้วางแนววินิจฉัยไว้ เหมือนกรณีคดีของนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งสามารถยึกเป็นแนวบรรทัดฐานได้

“ในคลิปเสียงท่านนายกฯ แพทองธารก็ยอมรับแล้ว มีการพูดถึงเจ้าหน้าที่ของเรา มีการเอ่ยชื่อ ตำแหน่งด้วย ในลักษณะว่าไม่ใช่พวกเรา ทำให้สังคมตั้งคำถามตรงนี้ ว่าตกลงท่านนายกฯ ของเราเป็นพวกกับใคร เป็นพวกทหารของเรา หรือพวกกับเพื่อนบ้าน แล้วคำขอให้เปิดชายแดน เปิดด่านกันเลยนั้น ก็คงต้องรอฟังจากฝ่ายความมั่นคง นายกฯ คงไม่มีหน้าที่จะไปดู ไปรับปากตรงนั้น ซึ่งคำต่างๆ ที่สื่อถอดออกมาก็เป็นตัวอย่างที่ผมนำมาให้กกต.ดูว่า ในนี้กรณีนี้จะเข้าข่ายว่านายกฯ ไปทำการที่ไม่ซื่อสัตย์ สุจริต ทำให้เสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่งและเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ตามมาตรฐานจริยธรรมหรือไม่” นายเรืองไกร กล่าว

นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า นี่ยังไม่ได้พูดถึงการฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรงที่จะเป็นดุลพินิจของกกต. หรือจะมีการส่งต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อีกทางหนึ่ง ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญาเรื่องความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร กับความมั่นคงที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร เช่น มาตรา 116 และมาตรา 119 ซึ่งไม่ใช่หน้าที่และอำนาจของกกต. ซึ่งอาจจะมีการรวบรวมพยานหลักฐาน หรือหากมีพรรคการเมือง หรือสมาชิกวุฒิสภา เข้าชื่อยื่นตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ หรือกลุ่มบุคคลที่จะยื่น ก็ถือเป็นสิทธิ ซึ่งนายกฯ ก็จะต้องเหนื่อยหน่อย ท่านเองก็บอกเองว่า เรื่องนี้ทำให้ลำบากที่สุดตั้งแต่ที่เป็นนายกฯ มา ท่านก็ต้องมาชี้แจง แต่ข้อเท็จจริงแทบจะไม่ต้องหายากอะไร มีเยอะมาก โดยเอกสารหลักฐานต่างๆ ตนจะส่งตามมาเพิ่มเติม

เมื่อถามว่า นี่ถือเป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่ก้าวก่ายงานราชการหรือไม่ นายเรืองไกร กล่าวว่า มันจะมากกว่านั้น นี่เป็นเรื่องที่กระทบกับความมั่นคง เพราะคลิปเสียงมีการไปพูดว่าฝั่งไทยไม่ได้อยู่กับพวกเรา แล้วท่านไปอยู่กับพวกเพื่อนบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ คำพูดของท่านมันชัด ท่านต้องพึงระวัง ดังนั้นข้อเท็จจริงแทบจะได้ความแล้วอยู่ที่กกต.จะดำเนินการ

เมื่อถามว่า ปัจจุบันมีการเรียกร้องให้ยุบสภา หรือลาออก คิดว่านายกฯ ควรเลือกทางไหน นายเรืองไกร กล่าวว่า ตนพูดหลายครั้งแล้วว่า การที่ท่านขึ้นมานั้น คะแนนหลายๆ เรื่องไม่ผ่าน อภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมาท่านได้เพราะเสียงเกินก็อยู่ได้ แต่สิ่งที่สังคม ประชาชนรับรู้ คือความรู้ความสามารถของนายกฯ เองนั้น ท่านควรจะพิจารณาตัวเอง อยู่ตรงนี้รังแต่จะก่อให้เกิดความรู้สึกลำบากใจตัวเองหรือไม่ อยู่ที่ว่าท่านจะไปไหวไหม เพราะหลายพรรคการเมือง รวมถึงประชาชนก็เรียกร้องความรับผิดชอบจากตัวนายกฯ อย่างภูมิใจไทยก็แสดงจุดยืนและลาออกไปแล้ว แค่นี้ก็เหนื่อยแล้ว ส่วนพรรคพลังประชารัฐ ก็มีจุดยืนของหัวหน้าพรรคไปแล้ว เรื่องที่มีคนถูกดึงไป แต่จะมีสส.คนไหนปันใจหรือไม่ตนก็ไม่ทราบ

“ดังนั้นนายกฯ มีทางเลือกอยู่ 2 ทาง ไม่ยุบสภาก็ลาออกแล้วให้คนใหม่ที่เหมาะสมกว่ามาทำหน้าที่ เพราะเรายังมีบัญชีนายกฯ อยู่ เพื่อไทยยังมีนายชัยเกษม นิติสิริ อยู่ในบุญชี ขณะที่ อายุสภาก็ยังเหลืออยู่ แต่ถ้าท่านมั่นใจว่าจะให้ประชาชนตัดสินท่านก็ต้องยุบ ถ้าคิดว่าไปไม่ไหว แล้วสภายังไม่มีความเห็นอะไรท่านก็ลาออก” นายเรืองไกร กล่าว

เมื่อถามต่อว่า ขณะนี้กระแสสังคมมีการพูดถึงการปฏิวัติ นายเรืองไกร กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ควรเกิดขึ้นในครรลองประชาธิปไตย แต่ถ้าความรู้สึก การประเมินตัวเองของนายกฯ และมีเสียงสะท้อนแบบนี้ ท่านก็ควรจะรับรู้ว่า ควรจะพิจารณาตัวเอง ดีที่สุด แต่ถ้ารอจนเป็นคดีความต่างๆ ท่านอายุยังน้อย ลูกยังเล็ก เพราะความมั่นคงเป็นเรื่องใหญ่มาก

เมื่อถามว่า นายกฯ ระบุว่า การพูดคุยเพื่อให้เกิดผลดีต่อประเทศไม่ให้เกิดการสู้รบ และเป็นเทคนิคการเจรจา นายเรืองไกร กล่าวว่า ฟังไม่ขึ้น การโทรคุยกันลับๆ ในตำแหน่งนายกฯ กับนายฮุนเซน และมีข่าวรั่วออกมา ยืนยันว่าการคุยแบบทวิภาคีต้องเปิดเผย ฝ่ายความั่นคงต้องทราบ แต่ท่านไปตกลง และพูดจาเอาใจเขา แล้วบอกว่าแม่ทัพนายกองของเราเป็นฝ่ายตรงข้าม คำว่าพวกเราคือใคร ท่านนายกฯ กับฝ่ายกัมพูชาเป็ฯพวกเดียว แล้วฝ่ายคนไทยไม่ใช่พวกท่าน มันทำให้คนไทยรู้สึก บางครั้งการพูดต้องคิด ทักษะการพูดหากคนที่เรียนการทูตมาจะเข้าใจมากกว่า ที่ว่าพูดให้ใจเย็นนั้น เป็นแค่การพูดแก้ทีหลัง แต่ขั้นตอนที่ไปคุยกัน กับเสียงที่ออกมาไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้น

- Advertisment -spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

ถึงเวลา‘นายกฯอิ๊งค์’ต้องลาออก

- Advertisment -spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img