ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.70 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” แรงหนุนจากการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.70 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.77 บาทต่อดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.69-32.83 บาทต่อดอลลาร์) แม้ว่าปริมาณการทำธุรกรรมในตลาดการเงินจะเบาบางลง เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุด Juneteenth ของตลาดการเงินสหรัฐฯ
โดยเงินบาทก็พอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าบ้าง ตามจังหวะการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ซึ่งเผชิญแรงกดดันจากการรีบาวด์แข็งค่าขึ้นของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลังเงินเยนญี่ปุ่นยังไม่สามารถอ่อนค่าลงต่อเนื่องได้ ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยเพิ่มสถานะ Long JPY (มองเงินเยนญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้น) ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งในระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน และมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คงเชื่อว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ยังมีโอกาสทยอยขึ้นดอกเบี้ย (อัตราเงินเฟ้อ CPI ญี่ปุ่น เดือนพฤษภาคม ที่ออกมาในเช้าวันนี้ ก็ยังอยู่ในระดับสูงถึง 3.5%) สวนทางกับแนวโน้มการทยอยลดดอกเบี้ยของเฟด
นอกจากนี้ เงินบาทยังได้แรงหนุนเพิ่มเติม ตามจังหวะการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านด้วยเช่นกัน อีกทั้งผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์แถวโซนแนวต้าน 32.80-32.90 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้เงินบาทยังไม่สามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านดังกล่าวได้ชัดเจน
แม้ว่าตลาดการเงินสหรัฐฯ จะปิดทำการเนื่องในวันหยุด Juneteenth ทว่าความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล ก็ยังคงส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงิน สะท้อนผ่านการปรับตัวลดลงราว -0.3% ของสัญญาฟิวเจอร์สของดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯล่าสุด
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลงต่อเนื่อง -0.83% กดดันโดยความกังวลสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง หลังผู้เล่นในตลาดยังคงกังวลต่อท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้างจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ Shell +1.3%
ทางด้านตลาดค่าเงิน แม้ว่าจะเป็นช่วงวันหยุดของตลาดการเงินสหรัฐฯ ทว่าเงินดอลลาร์ก็เผชิญแรงกดดันบ้าง ตามจังหวะการรีบาวด์แข็งค่าขึ้นของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลังเงินเยนญี่ปุ่นยังไม่สามารถอ่อนค่าลงได้ต่อเนื่อง ทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยเพิ่มสถานะ Long JPY (มองเงินเยนแข็งค่าขึ้น) ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน อีกทั้งอัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นล่าสุด อย่าง Core-Core CPI ก็ออกมาสูงกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังมีความหวังต่อแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลงสู่ระดับ 98.6 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.6-99.1 จุด)
ส่วนของราคาทองคำ แม้ปริมาณการทำธุรกรรมในตลาดจะเบาบางลงช่วงวันหยุดของตลาดการเงินสหรัฐฯ ทว่าราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.2025) ยังพอได้แรงหนุนจากความไม่แน่นอนของ สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ทำให้ราคาทองคำยังคงแกว่งตัวแถวโซน 3,380-3,390 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของอังกฤษ ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งจะช่วยประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) หลังล่าสุด BOE มีมติ 6-3 คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.25% ทำให้ผู้เล่นในตลาดคงมุมมองเดิมว่า BOE ยังมีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีกราว 2 ครั้งในปีนี้ ตามการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ
ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานดัชนีภาวะเศรษฐกิจและภาคธุรกิจจากเฟดสาขา Philadelphiaนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับบรรดาประเทศคู่ค้า อย่างจีน รวมถึงสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงได้บ้าง หรือเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideways Up ท่ามกลาง ความวุ่นวายของสถานการณ์การเมืองไทย อย่างไรก็ดี เรายอมรับว่าเงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way risk จากแนวโน้มการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์ ราคาทองคำและราคาน้ำมันดิบ ซึ่งจะขึ้นกับพัฒนาการของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง โดยในกรณีที่สถานการณ์ดังกล่าวทวีความรุนแรงและเสี่ยงลุกลาม บานปลายมากขึ้น (เช่น สหรัฐฯตัดสินใจเข้ามามีส่วนร่วมในการโจมตีอิหร่าน จนนำไปสู่การตอบโต้ที่รุนแรงมากขึ้นจากฝั่งอิหร่านและพันธมิตร Axis of Resistance) ก็อาจทำให้ราคาทองคำและราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น
ซึ่งหากเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ก็อาจเป็นปัจจัยกดดันให้โดยรวมเงินบาทอ่อนค่าลงได้บ้าง (หากราคาทองคำไม่ได้ปรับตัวขึ้นเร็วและแรง จนทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเงินบาทกับราคาทองคำเปลี่ยนแปลง) ในกลับกัน หากสถานการณ์ความขัดแย้งดังกล่าว มีทิศทางที่จะทยอยคลี่คลายลงได้ และอาจเริ่มเห็นสัญญาณการกลับมาเจรจายุติการสู้รบ ก็อาจกดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงบ้าง ซึ่งต้องจับตาการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์ประกอบไปด้วย โดยหากเงินดอลลาร์ทรงตัว หรือแข็งค่าขึ้นบ้าง ส่วนราคาทองคำปรับตัวลดลงก็อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้เช่นกัน
ทั้งนี้แม้ว่าเงินบาทจะเผชิญความเสี่ยงอ่อนค่าลงบ้าง แต่การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจติดโซนแนวต้าน 32.90-33.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ในโซนดังกล่าว ขณะที่โซนแนวรับของเงินบาทก็อาจขยับขึ้นมาแถว 32.50-32.60 บาทต่อดอลลาร์ในช่วงนี้ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ถึงจะเห็นการเคลื่อนไหวออกจากโซนแนวรับ-แนวต้านดังกล่าวได้อย่างชัดเจน
ในเชิงเทคนิคัล หากประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เราพบว่า หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน จะเกิดสัญญาณ Long USDTHB สะท้อนว่า เงินบาทมีโอกาสทยอยอ่อนค่าลงต่อได้ (ล่าสุด เงินบาทก็ยังไม่สามารถผ่านโซนดังกล่าวได้)
การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ อย่างเงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน ทำให้เราคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.60-32.90 บาทต่อดอลลาร์