พลังประชารัฐเปิดฉากวิจารณ์หนัก รัฐบาลแพทองธารไร้วิสัยทัศน์ นโยบายล้มเหลวทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และต่างประเทศ ชี้เปิดช่องทุนสีเทา-แก๊งคอลเซ็นเตอร์ระบาด พร้อมขู่ค้านนโยบายเอื้อประโยชน์พวกพ้องทุกทาง
เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.68 พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ออกมาแถลงจุดยืนของพรรค พร้อมวิจารณ์การทำงานของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า ตลอดระยะเวลาที่เข้ารับตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยยังไม่สามารถขับเคลื่อนนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองและประชาชนได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะในด้านความมั่นคงและเสถียรภาพของประเทศ
พล.ต.ท.ปิยะ ชี้ว่า รัฐบาลมีความล้มเหลวอย่างน่าเป็นห่วงในนโยบายต่างประเทศ โดยยกตัวอย่างกรณีการอ้างสิทธิ์เหนือเกาะกูดจากฝั่งกัมพูชา อันสืบเนื่องจาก MOU 44 ที่มีมาตั้งแต่สมัยนายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความตึงเครียดในความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา กระทั่งในปัจจุบัน รัฐบาลยังไม่สามารถดำเนินการใดๆ เพื่อรักษาสิทธิ์อธิปไตยของไทยอย่างเป็นรูปธรรมได้ นอกจากการตรึงกำลังทหารในพื้นที่เท่านั้น
“การปล่อยให้กัมพูชาใช้กำลังรุกล้ำสามเหลี่ยมมรกตเข้ามาในเขตแดนไทยกว่า 150 เมตร โดยไม่มีการประณามหรือแสดงท่าทีแข็งกร้าวใดๆ สะท้อนถึงความอ่อนแอของรัฐบาลในการประเมินสถานการณ์” พล.ต.ท.ปิยะกล่าว
พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวอีกว่า รัฐบาลใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวกับผู้นำกัมพูชาในการเจรจาที่เอื้อประโยชน์ให้กับอีกฝ่ายมากกว่าปกป้องศักดิ์ศรีของคนไทย โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับสมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา
พล.ต.ท.ปิยะ ยังกล่าวถึงกรณีพิพาทกับเมียนมา จากเหตุการณ์ที่ลูกเรือประมงไทย 4 คนถูกควบคุมตัว แต่รัฐบาลไทยไม่สามารถใช้นโยบายต่างประเทศในการช่วยเหลือได้ทันการณ์ ตรงกันข้ามกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งในขณะนั้นไม่มีตำแหน่งในรัฐบาล กลับสามารถเจรจาและพาคนไทยกลับบ้านได้สำเร็จ
ในมิติเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว โฆษก พปชร. ระบุว่า นโยบายเปิดฟรีวีซ่าของรัฐบาล นำไปสู่ช่องโหว่ที่ทำให้ทุนสีเทาและธุรกิจผิดกฎหมายเข้ามาแฝงตัว ทั้งทัวร์ศูนย์เหรียญ โรงงานเถื่อน และร้านอาหารบังหน้าธุรกิจฟอกเงิน รวมถึงการปล่อยให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงประชาชน โดยที่รัฐบาลไร้แผนการควบคุมอย่างเป็นระบบ
พร้อมกันนี้ ยังวิพากษ์วิจารณ์แนวคิดการเปิด “เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” ของรัฐบาลว่า เป็นการเปิดช่องให้มีการฟอกเงินผ่านสถานบันเทิง และนำไปสู่ปัญหาสังคมรูปแบบใหม่ พรรคพลังประชารัฐจึงยืนยันว่าจะต่อต้านนโยบายนี้ในทุกวิถีทาง
พล.ต.ท.ปิยะ ยังกล่าวถึงความล้มเหลวของรัฐบาลในการดูแลปากท้องประชาชนว่า เศรษฐกิจตกต่ำอย่างต่อเนื่อง มีการปลดคนงานจำนวนมาก ขณะที่ราคาพืชผลทางการเกษตรกลับตกต่ำจนน่าเป็นห่วง “คำสัญญาที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนกลายเป็นเพียงวาทกรรมในช่วงหาเสียง” เขากล่าว
ในช่วงท้าย พล.ต.ท.ปิยะตั้งคำถามถึงนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่มาจากการกู้เงินกว่า 5 แสนล้านบาท ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง และอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยยังต่ำที่สุดในอาเซียน ขณะที่หนี้ครัวเรือนก็ยังพุ่งสูงต่อเนื่อง“รัฐบาลชุดนี้ไม่เพียงแต่ไร้ประสิทธิภาพ แต่ยังขาดเจตจำนงที่จะยืนอยู่ข้างประชาชนอย่างแท้จริง” พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวทิ้งท้าย