วันเสาร์, มิถุนายน 21, 2025
หน้าแรกHighlight‘จุลพันธ์’วอนทุกฝ่ายมองด้วยใจเป็นธรรมป้อง‘อิ๊งค์’เหยื่อใช้ปั่นความแตกแยกไทย
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

‘จุลพันธ์’วอนทุกฝ่ายมองด้วยใจเป็นธรรมป้อง‘อิ๊งค์’เหยื่อใช้ปั่นความแตกแยกไทย

‘จุลพันธ์’ ป้อง ‘อิ๊งค์’ เป็นเหยื่อการเมืองกัมพูชาปั่นความแตกแยกไทย ปม คลิปเสียงหลุดสนทนาฮุนเซ็น ขอ ทุกฝ่ายมองด้วยใจที่เป็นธรรม ติง การเมืองบางพรรคฉวยจังหวะเรียกร้องยุบสภาฯ ชิงความได้เปรียบตัวเองหากเลือกตั้งเร็ว ชี้ อำนาจปรับ ครม.ใหม่เป็นของ ‘นายกฯ’ รับ ดีใจไม่มีพรรคร่วมฯ ถอนตัวเพิ่ม ยัน รบ. ยืนหยัดแก้ปัญหาชายแดน เชื่อจากนี้มีมาตรการชัดขึ้น

วันที่ 20 มิ.ย.2568 เวลา 09.15 น. ที่รัฐสภา นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกระแสข่าวพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เสนอขอเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี หากไม่เปลี่ยนจะถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล ว่า รอฟังให้ชัดเจนก่อน เพราะที่ตนได้ยินมาไม่ตรงกัน ต้องรอดู โดยรัฐมนตรีของพรรค พท.ได้มีการพูดคุยกันถึงสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ โดยเมื่อวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา รัฐมนตรีมีการประชุมและนั่งคุยกันที่พรรคพร้อมติดตามการแถลงข่าวของนายกรัฐมนตรี ซึ่งต้องขอขอบคุณกองทัพที่ให้ความร่วมมือในการทำงานของรัฐบาลให้เป็นปึกแผ่น ทุกคนต่างเข้าใจในเหตุและผล

นายจุลพันธ์ กล่าวต่อว่า คลิปเสียงที่ออกมาตนมองว่าคนที่เป็นเหยื่อคือนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่อื่นใด ท่านเป็นเหยื่อจากปฏิบัติการของฝ่ายกัมพูชาที่มีจุดประสงค์ชัดเจนคือ ต้องการเห็นความแตกแยกของประเทศ ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จไปในส่วนหนึ่ง แต่วันนี้เราจึงต้องกลับมาตั้งสติพิจารณาว่าสิ่งที่นายกรัฐมนตรีพูดในคลิปไม่ได้มีวัตถุประสงค์ร้ายใดกับประเทศ เป็นแค่กลไกในการเจรจาเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายบางเบาลง ซึ่ง ณ วันดังกล่าวก็เกิดผล ฉะนั้น ในส่วนนี้ตนมองว่าไม่มีอะไรเสียหาย เพราะการที่ผู้นำประเทศคุยกัน เช่น ตนก็มีเบอร์ของรัฐมนตรีของรัฐมนตรีต่างประเทศที่ได้พบเจอกัน ซึ่งผู้นำหลายประเทศในระดับต่างๆ จะต่อสายหากัน เพื่อประสานงานกัน เป็นเรื่องธรรมดาเพื่อการขับเคลื่อนงานแต่ละส่วน

“ดังนั้น สิ่งที่นายกรัฐมนตรีทำ เป็นไปตามกลไกปกติ ซึ่งหากดูด้วยใจเป็นธรรมก็จะเห็นว่าไม่มีอะไร ทั้งคลิป 9 นาทีและ 17 นาทีก็จะได้เห็นวัตถุประสงค์ของการเจรจา และสุดท้ายนายกรัฐมนตรีก็กลับมาปรึกษากองทัพ เพื่อที่จะดำเนินการต่างๆ เพราะเขาขอให้เราเปิดก่อน แต่เราไม่ยอม ท่านก็ตึงไว้และบอกว่าเป็นไปไม่ได้ ต้องพร้อมกันทั้งสองประเทศ ฉะนั้น ตรงนี้ขอให้ทุกฝ่ายมองด้วยใจที่เป็นธรรม หากสังเกตการเคลื่อนไหวในตอนนี้ จะเห็นว่ามีเป้าหมายเป็นวัตถุประสงค์ทางการเมืองเป็นหลัก ซึ่งไม่เป็นผลดีกับประเทศใด สำหรับผมมองว่าเป็นเรื่องที่ฝ่ายการเมืองบางฝ่ายออกมาฉวยจังหวะทำให้สถานการณ์ดูตึงเครียด และเลวร้ายลงสำหรับประเทศไทย แต่กลายเป็นผลดีกับกัมพูชา ดูง่ายๆ เลยเช่นบางพรรคเรียกร้องให้ยุบสภา เพราะมองว่าเป็นความได้เปรียบของเขาในการเลือกตั้ง หากเลือกตั้งเร็ว และอีกหลายกลุ่มก็เรียกร้องให้มีการลาออก เพราะมองว่าหากลาออกแล้วมีโอกาสสำหรับคนของเขา ซึ่งหากใครได้อ่านหรือเรียนการเมือง 101 ก็จะรู้ว่าแต่ละคนคิดอย่างไร แต่นาทีนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะเอาเรื่องประเภทนี้ มาสร้างแรงสั่นสะเทือนให้รัฐบาล เพราะรัฐบาลจำเป็นต้องยืนหยัดในการทำงาน โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ การเจรจากับสหรัฐอเมริกา ที่มีความคืบหน้าเปิดโต๊ะเจรจาแล้ว รวมถึงปัญหาชายแดนไทยกัมพูชาที่จำเป็นต้องมีความต่อเนื่องในการแก้ไขปัญหา และหลังจากที่นายกรัฐมนตรีประชุมกับเหล่าทัพเมื่อวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา เราก็ได้ยินข่าวดีและเชื่อว่าจะมีมาตรการออกมาหลังจากนี้ที่ชัดเจนขึ้น” นายจุลพันธ์ กล่าว

เมื่อถามถึง นายกรัฐมนตรีได้มีการแจ้งให้รัฐมนตรีทราบแล้วหรือไม่เรื่องการปรับเปลี่ยนเก้าอี้รัฐมนตรีภายหลังพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ถอนตัวออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว นายจุลพันธ์ กล่าวว่า เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี แต่ตนในฐานะรัฐมนตรีไม่ได้มีการพูดคุยต่อรองหรือสอบถามอะไร เพราะต้องให้ความเป็นอิสระแก่นายกรัฐมนตรีในการพิจารณา เชื่อว่าหลังจากที่นายกฯทำงานมาเกือบปีแล้วจะทราบดีว่าจุดไหนที่เป็นปัญหา แล้วควรที่จะปรับเปลี่ยนหรือจะต้องมีการขับเคลื่อน ย้ำว่าต้องให้อำนาจในส่วนนั้นกับนายกรัฐมนตรี ซึ่งตรงนี้ในฐานะคณะรัฐมนตรีเราจะไม่คุยกัน และรู้สึกดีใจหลังจากที่ติดตามข่าวเมื่อวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา เห็นว่าไม่มีรัฐบาลพรรคใดไปพูดคุยต่อรอง ทุกคนเห็นประโยชน์กับการขับเคลื่อนของประเทศไปข้างหน้า ไม่มีการพูดคุยเรื่องตำแหน่ง ส่วนหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรเป็นสิทธิ์ขาดของนายกรัฐมนตรีและผลออกมาเป็นอย่างไรต้องยอมรับ

เมื่อถามว่า ส่วนตัวได้คุยกับนายกรัฐมนตรีบ้างหรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า แน่นอน เราพบกันเรื่อยๆ เมื่อพบกันก็ได้ให้กำลังใจ และต้องยอมรับว่าช่วงหลายวันที่ผ่านมานั้นหลายเรื่องก็หนักจริงๆ ไม่มีใครที่จะปฏิเสธได้ แต่นายกรัฐมนตรีก็สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ดี ตามอัตภาพที่ควรจะต้องเป็น ซึ่งตรงนี้ต้องชื่นชมนายกรัฐมนตรี ซึ่งเหตุการณ์นี้จะทำให้นายกรัฐมนตรีแข็งแกร่งขึ้น และประเทศไทยก็ยังต้องขับเคลื่อนต่อไป ฉะนั้น ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ต้องให้เวลากันเพื่อปฏิบัติหน้าที่กันต่อไป

- Advertisment -spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img