ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 32.85 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” หลังสหรัฐโจมตีฐานนิวเคลียร์อิหร่าน จับตาผลประชุม กนง.-รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากฝั่งสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.85 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 32.75 บาทต่อดอลลาร์โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ในลักษณะ Sideways Up (แกว่งตัวในกรอบ 32.71-32.90 บาทต่อดอลลาร์)
โดยเงินบาทอ่อนค่าลงบ้าง ในช่วงเช้าของตลาดการเงินเอเชีย หลังตลาดรับรู้ผลกระทบจากการโจมตีทางอากาศต่อเป้าหมายโครงสร้างพื้นฐานนิวเคลียร์ของอิหร่านโดยสหรัฐฯ ผ่าน “Operation Midnight Hammer” ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่ทางการอิหร่านอาจตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยการปิดช่องแคบฮอร์มุซ กระทบต่อโฟลว์น้ำมันตลาดโลก ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้นเกิน +2% ส่วนเงินดอลลาร์ก็แข็งค่าขึ้นบ้าง ตามความต้องการถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงนี้ ทว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ ซึ่งยังพอได้รับอานิสงส์บ้างจากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทวีความร้อนแรงมากขึ้นและยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูงมาก
สัปดาห์ที่ผ่านมา แม้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯส่วนใหญ่จะออกมาแย่กว่าคาด แต่เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนบ้างจากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ร้อนแรง และการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY)
สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอลุ้นผลการประชุม กนง. และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากฝั่งสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น พร้อมติดตาม สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ สหรัฐฯ – ในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ โดย S&P Global (Manufacturing & Services PMIs) รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) ในเดือนมิถุนายน ขณะเดียวกันผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE เดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อมูลเงินเฟ้อที่เฟดจับตาใกล้ชิด
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะ การแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ต่อคณะกรรมาธิการของสภาคองเกรส ท่ามกลางแรงกดดันจากรัฐบาล Trump 2.0 ที่ต้องการให้ประธานเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ยนโยบาย และนอกเหนือจากประเด็นในข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ หลังสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางมีแนวโน้มทวีความรุนแรง และลุกลามบานปลายมากขึ้น หลังสหรัฐฯเปิดฉากโจมตีทางอากาศใส่เป้าหมายโครงสร้างพื้นฐานนิวเคลียร์ของอิหร่าน (Operation Midnight Hammer ที่มีการใช้อากาศยานกว่า 125 ลำ ในการโจมตีครั้งนี้)
โดยต้องจับตาการตอบโต้ของฝั่งอิหร่าน ที่ล่าสุดมีความเสี่ยงที่อิหร่านอาจเลือกปิดช่องแคบฮอร์มุซ เป็นการตอบโต้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญในระยะสั้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบที่อาจพุ่งสูงขึ้นราว 10-20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากระดับราคาปัจจุบันได้
▪ ยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของยูโรโซนและอังกฤษ ในเดือนมิถุนายน พร้อมกับรอจับตา รายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ (IFO Business Climate) ของเยอรมนี ในเดือนมิถุนายน เช่นกัน พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) เพื่อประเมินทิศทางการปรับดอกเบี้ยนโยบายของ ECB และ BOE :ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดให้โอกาสราว 89% ที่ ECB จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 1 ครั้ง 25bps ในปีนี้ ส่วน BOE มีโอกาส 96% ที่จะลดดอกเบี้ยเพิ่มอีก 2 ครั้ง ราว 50bps ในปีนี้
▪ เอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของญี่ปุ่น ทั้งดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการเดือนมิถุนายน รวมถึงยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนพฤษภาคม และอัตราเงินเฟ้อ CPI ของกรุงโตเกียว ในเดือนมิถุนายน ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะช่วยสะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้ ซึ่งล่าสุดผู้เล่นในตลาดให้โอกาสราว 52% ที่ BOJ จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติม 1 ครั้ง 25bps ในปีนี้
▪ ไทย – เราประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.75% เพื่อรอประเมินผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ทั้งนโยบายการค้าของสหรัฐฯ สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และความวุ่นวายของการเมืองไทย ให้แน่ชัดก่อน ทว่า กนง.อาจยังคงส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น ควบคู่ไปกับเครื่องมือหรือนโยบายที่มีความจำเพาะเจาะจงในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือน และภาวะการเงินของไทยที่ยังคงตึงตัวอยู่ ทำให้ผู้เล่นในตลาดอาจยังคงมุมมองเดิมว่า กนง.มีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยจนถึงระดับ 1.25% ได้ ภายใน 12 เดือนข้างหน้า
สำหรับ แนวโน้มเงินบาทโมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทมีกำลังมากขึ้น กดดันให้เงินบาทยังมีความเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้ แบบ Sideways Up ท่ามกลางปัจจัยกดดันเงินบาท ทั้ง ปัญหาการเมืองภายในของไทย ที่อาจทำให้บรรดานักลงทุนต่างชาติต่างยังไม่รีบกลับเข้าซื้อสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะในช่วงที่สินทรัพย์ฝั่งตลาดเกิดใหม่ (EM) เสี่ยงเผชิญแรงขายจากภาวะปิดรับความเสี่ยงในระยะสั้น จากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทวีความร้อนแรงมากขึ้น ซึ่งต้องจับตาการตอบโต้ของทางการอิหร่าน หลังสหรัฐฯได้โจมตีทางอากาศใส่โครงสร้างพื้นฐานนิวเคลียร์ของอิหร่านในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
โดยหากอิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซได้จริง (มิใช่เพียงการขู่ เหมือนในอดีต) ก็อาจส่งผลกระทบต่อโฟลว์น้ำมันตลาดโลก หนุนให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้น กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้ แม้ว่าเงินบาทจะพอได้รับอานิสงส์จากการปรับตัวขึ้นบ้างของราคาทองคำก็ตาม แต่เรามองว่า อิหร่านอาจเลือกที่จะไม่ตอบโต้ทางการทหารที่รุนแรง ซึ่งจะเสี่ยงต่อการให้สหรัฐฯเข้ามามีส่วนร่วมในความขัดแย้งครั้งนี้แบบเต็มรูปแบบ และไม่คุ้มค่าในเชิง Risk-Reward ทำให้เราประเมินว่า สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางอาจไม่ได้ลุกลาม บานปลายเป็นวงกว้าง ในเชิงการเผชิญหน้าทางการทหาร แต่ยังมีผลกระทบต่อโฟลว์น้ำมันตลาดโลกพอสมควร ทำให้ราคาทองคำอาจได้รับอานิสงส์ น้อยกว่า ราคาน้ำมันดิบ (โดยเฉพาะในกรณีที่อิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซ) อนึ่ง เมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.80-32.90 บาทต่อดอลลาร์ได้ชัดเจน
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้นอาจพอได้แรงหนุนบ้าง หากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางทวีความรุนแรง ลุมลาม บานปลาย แต่หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงออกมาแย่กว่าคาด ก็อาจกดดันเงินดอลลาร์ได้ไม่ยาก โดยคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward โดยมองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.50-33.20 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.65-33.00 บาทต่อดอลลาร์