เศรษฐกิจไทย กำลังเผชิญหน้ากับมรสุมลูกใหญ่ที่ถาโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เรียกว่าแทบไม่มีปัจจัยบวกเลย ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ เสถียรภาพรัฐบาลกำลังสั่นคลอนจนน่าห่วง อันเนื่องมาจาก “ผู้นำประเทศ” ที่อ่อนด้อยประสบการณ์ ทั้งการเมือง การบริหารจัดการ และไร้วุฒิภาวะ ทำให้ “เกิดวิกฤตศรัทธาในตัวผู้นำ”
ก่อนหน้านี้รัฐบาลโดยเฉพาะ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี โดนวิจารณ์อย่างหนักในกรณี ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ออกมาตรการภาษีใหม่ เรียกว่า ภาษีตอบโต้กับประเทศคู่ค้า ไทยพลอยโดนหางเลขด้วย แต่ “รัฐบาล-นายกฯแพทองธาร” มะงุมมะงาหรา ล่าช้า ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน จนป่านนี้เพิ่งจะได้คิวนัดหมายเจรจากับผู้แทนสหรัฐ แต่ผู้แทนมาเลเซียได้เข้าพบเจรจากับตัวแทนสหรัฐฯเรียบร้อยแล้ว ส่วนเวียดนาม ผู้นำประเทศจะบินไปเจรจาด้วยตัวเอง
ล่าสุดก็เจอทีเด็ด “สมเด็จฮุน เซน” ปล่อยคลิปเสียงการเจรจากับ “นายกฯแพทองธาร” กรณีความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เนื้อหาสาระในการเจรจา สะท้อนให้เห็น “ความอ่อนด้อย” ของ “ผู้นำไทย” ที่ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยม “ฮุน เซน” จนกลายเป็นเงื่อนไขทางการเมืองให้ “พรรคภูมิใจไทย” ชิงจังหวะลาออกจากพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายต่อต้านฉวยโอกาสชุมนุมประท้วง ซ้ำเติมให้การเมืองร้อนระอุ ในสถานการณ์ที่รัฐบาลอ่อนแอ

“นายกฯแพทองธาร” ทำผิดพลาดซ้ำซาก กระทบต่อความเชื่อมั่นในตัว “ผู้นำประเทศ” และภาพลักษณ์นายกรัฐมนตรี ทำให้ประเทศไทยอยู่ในภาวะที่มีความเสี่ยงสูงมาก ความเชื่อมั่นต่างๆ หายไป กลายเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจสำคัญที่สุดขณะนี้คือ ภาคเอกชนไม่รู้ทิศทางการเมือง การบริหารประเทศว่าจะไปในทิศทางไหน ถ้าการเมืองยังไม่ชัดเจน เศรษฐกิจจะเดินหน้าต่อไม่ได้
โลกทุกวันนี้ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนทั้งในเรื่องเศรษฐกิจ-การเมือง ดังนั้น “ความเชื่อมั่น” จึงเป็นปัจจัยที่สำคัญ เศรษฐกิจในยุคปัจจุบัน ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยตัวเลขเท่านั้น แต่ขับเคลื่อนด้วย “ความรู้สึก” และ “ความคาดหวัง” ของผู้คนด้วย
นักลงทุน ก่อนจะตัดสินใจลงทุนหรือไม่ ไม่ได้ดูแค่ปัจจัยพื้นฐาน ยังพิจารณาจากบรรยากาศโดยรวม หากมีความเชื่อมั่นว่า รัฐบาลมีความมั่นคงมีเสถียรภาพบริหารต่อเนื่อง เศรษฐกิจมีศักยภาพในการเติบโต ก็พร้อมนำเงินมาลงทุน สร้างโรงงาน พัฒนาเทคโนโลยีหรือขยายกิจการ แต่ถ้าความเชื่อมั่นลดลงหรือไม่เชื่อมั่น ไม่ว่าจะเกิดจากความวุ่นวายทางการเมือง การเปลี่ยนนโยบายกะทันหันหรือปัญหาคอร์รัปชัน การลงทุนก็จะชะงักหรือไม่เข้ามาลงทุน
ขณะที่ ภาคธุรกิจ หากเชื่อมั่นเชื่อมั่นในตลาด ผู้บริโภคมีกำลังซื้อ ก็กล้าขยายกิจการ กล้าจ้างงานเพิ่ม พัฒนาสินค้าใหม่ๆ ขยายสาขา ซึ่งจะผลต่อ GDP และรายได้ประชาชาติ ในทางกลับกัน หากเชื่อว่า อนาคตเศรษฐกิจมีแต่ความไม่แน่นอน ก็ชะลอการลงทุนหรือ ลดต้นทุน เลิกจ้างพนักงาน ยิ่งจะทำให้กำลังซื้อของประชาชนลดลงไปอีก
ผู้บริโภค หากมั่นใจกับอนาคตของเศรษฐกิจ ก็กล้ามาจับจ่ายใช้สอย ซึ่งการใช้จ่ายภาคประชาชนจะช่วยกระตุ้นภาคการผลิต การจ้างงานมากขึ้น หากไม่มั่นใจ-ไม่เชื่อมั่น การจับจ่ายใช้สอยก็จะเป็นไปด้วยความระมัดระวัง ลดการใช้จ่ายลง หันไปเก็บออมสำหรับอนาคตแทน จะกระทบกับภาคธุรกิจและในระยะยาวเศรษฐกิจจะชะลอตัวลง
ทุกวันนี้ความเชื่อมั่นของ “นักลงทุน-ภาคธุรกิจ-ผู้บริโภค” ถดถอยลงตามลำดับ ต่อเนื่องมาตั้งแต่คณะ คสช. ทำการรัฐประหาร “รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เข้ามาบริหารประเทศเมื่อปี 54 วันนี้แม้มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่กลับไม่ได้สร้างความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับทรุดหนักยิ่งกว่าเดิม ด้วย “บุคลิกของผู้นำประเทศ” ที่ทำให้ประชาชนไม่มีความเชื่อมั่น

ตลาดหุ้น เป็นดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นได้ดีและเร็วที่สุด ซึ่งบ้านเราตอนนี้ จัดป็นตลาดที่มีราคาถูกที่สุดในโลก ยิ่งวิกฤตการเมืองซ้ำเติม ความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทยยิ่งลดลง ส่งผลให้ดัชนี SET ร่วงลงต่อเนื่อง นักลงทุนต่างชาติยังคงเดินหน้าขายหุ้นไทยต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีขายสุทธิเกือบๆ 8 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ การลงทุนโดยตรง ที่นักลงทุนเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานเพื่อผลิตสินค้าโดยการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ. ก็ลดน้อยถอยลงเรื่อยๆ นักลงทุนไม่มีความเชื่อมั่นประเทศไทย จึงหันไปลงทุนในประเทศที่รัฐบาลมีเสถียรภาพและมีความต่อเนื่อง นโยบายชัดเจน เช่น เวียดนาม มาเลย์ อินโดฯแทน
ส่วน การใช้จ่ายของประชาชน กำลังซื้อลดลง อย่างเห็นได้ชัด สะท้อนจากร้านอาหาร ทั้งไทยและต่างชาติพากันทยอยปิดตัว บรรยากาศย่านการค้าที่เคยคึกคัก ก็เงียบเหงาซบเซา โรงงานอุตสาหกรรมทยอยปิดกิจการ
ผลการจัดอันดับขีดความในการแข่งขันของไทยประจำปี 2568 โดย IMD ถือว่าเข้าขั้นวิกฤต หลังอันดับร่วง จากอันดับ 25 อยู่อันดับที่ 30 จาก 67 ประเทศเศรษฐกิจทั่วโลกและพบว่า ขีดความสามารถด้อยลงในทุกมิติ สะท้อนภาพประเทศไทยที่อ่อนแอลง ทั้งในเชิงโครงสร้างและระบบ ซึ่งจะกระทบต่ออนาคตประเทศอย่างรุนแรง
“ความเชื่อมั่น” ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่เป็นปัจจัยที่ทรงพลัง “รัฐบาลแพทองธาร” ประสบวิกฤตความเชื่อมั่น จากการตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว ไม่ทำตามสัญญาหลายประการ ทั้งการแก้รัฐธรรมนูญ ขึ้นค่าแรง ลดค่าพลังงาน และแจกเงินดิจิทัล การทำงานแบบมือสมัครเล่น ทั้งเรื่องภาษีทรัมป์จนถึงกรณีฮุนเซ็น
ภารกิจเร่งด่วนของ “รัฐบาลแพทองธาร” ตอนนี้ต้องเรียก “ความเชื่อมั่น” กลับคืนมาโดยเร็ว ก่อนที่ประเทศไทยจะจมไปพร้อมกับ “ความล้มเหลว” อย่าปล่อยให้ความไร้ประสิทธิภาพของ “ผู้นำประเทศ” นำพาประเทศไทยไปสู่หายนะ
……………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง
โดย…“ทวี มีเงิน”