ในที่สุด!! รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ก็ตัดสินใจเลือกใช้มาตรการ ”ช้อปดีมีคืน” ออกมาช่วยกระตุ้นการบริโภคในช่วงปลายปีนี้ เพิ่มเติมอีกหนึ่งมาตรการ
นัย…ของโครงการนี้ ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากโครงการ ”ช้อปช่วยชาติ” ที่รัฐบาลเคยใช้มาแล้วเมื่อปี 2558-2561อะไรมากมายนัก ด้วยเพราะมีเป้าหมายเดียวกัน คือ… ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้มีเงินใช้จ่ายหมุนเวียนในประเทศ
อาจมีเพียงเรื่องของ ”วงเงิน” ที่ครานี้ …รัฐบาลอาจยอมใจปล้ำให้นำมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ตามที่จ่ายจริง แต่ต้องไม่เกิน 30,000 บาท จากเดิมที่กำหนดวงเงินสูงสุดไว้ไม่เกิน 15,000 บาท
ตามข้อเท็จจริงแล้ว กระทรวงการคลังได้นำเสนอวงเงินหักลดหย่อนภาษีไว้สูงถึง 50,000 บาท แต่พอเอาเข้าจริงทางศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ “ศบศ.” มองว่า หากให้วงเงินมากเกินไปอาจกระเทือนกระเป๋าเงินของรัฐบาลก็เป็นไปได้
ด้วยเป้าหมายที่รัฐบาลต้องการ คือ… ต้องการให้คนมีสตางค์ หรือมีเงินหน่อย ที่เป็นกลุ่มผู้เสียภาษีในจำนวนประมาณ 4 ล้านคน เข้ามาใช้จ่าย ในช่วงวันที่ 23 ต.ค.-31 ธ.ค.นี้ รวม 70 วัน
ดังนั้น การกำหนดวงเงินลดหย่อนภาษีจึงต้องสูงกว่าเดิม แม้ต้องเฉือนเนื้อจากการสูญเสียรายได้ไปราว 1 หมื่นล้านบาทก็ตาม!!!
แต่เมื่อนำไปเทียบกับผลลัพธ์ที่จะทำให้เศรษฐกิจเดินหน้า หมุนไปข้างหน้าในหลาย ๆ รอบแล้ว หรือคิดเป็นวงเงินที่เข้าสู่ระบบไม่น้อยกว่า 1.2 แสนล้านบาท ถือว่าเป็นการเฉือนเนื้อที่คุ้มค่ากว่ามากนัก เพราะเอาเข้าจริงในเวลานี้ เศรษฐกิจกำลังต้องการแรงหมุนแรงส่งแรงเหวี่ยงที่สำคัญ เพื่อประคับประคองให้คนไทยยังมีเงินติดกระเป๋ากันบ้าง
นอกจากนี้…ยังเป็นการเติมมาตรการให้เต็มให้กับคนไทยทุกกลุ่ม เพราะก่อนหน้านี้ผู้ที่มีรายได้น้อยที่ถือบัตรคนจนกว่า 14.9 ล้านคน ก็ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลไปแล้ว ในการเพิ่มวงเงินบัตรคนจนอีกคนละ 500 บาท เป็นเวลา 3 เดือน ซึ่งเตรียมดำเนินการโอนเงินกันในช่วงกลางเดือนต.ค.นี้
หรือจะเป็นมาตรการจูงใจให้ใช้จ่ายอย่าง ”โครงการคนละครึ่ง” โดยให้เงินผู้ร่วมโครงการ 10 ล้านคน ไม่เกินคนละ 3,000 บาทโดยให้ใช้จ่ายได้วันละไม่เกิน 150 บาท และเตรียมเปิดให้ลงทะเบียนวันที่ 16 ต.ค.นี้ เริ่มใช้จ่ายตั้งแต่ 23 ต.ค.นี้ ไปจนถึง 31 ธ.ค.นี้เช่นกัน
ทั้ง 2 โครงการใช้เงินจากพ.ร.ก.กู้เงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม รวมวงเงิน 51,000 ล้านบาท ขณะที่ ”ช้อปดีมีคืน” ไม่ค้องควักเนื้อ แต่ไม่ได้รายได้เพิ่ม ก็เท่านั้น!!!
ก่อนหน้านี้ ”สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน การรันตีว่า อย่างน้อย ๆ มาตรการของรัฐบาลทั้ง 3 โครงการที่ออกมา จะมีเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้มากถึง 2 แสนล้านบาท ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี 63 นี้
หลายคนอาจตั้งคำถามว่า แล้วใครจะมีเงิน หรือหาเงินจากที่ไหนมาใช้จ่ายกันได้ โดยเฉพาะ ”ช้อปดีมีคืน” ก็อย่าลืมว่า เป้าหมายของโครงการนี้คือกลุ่มคนที่อยู่ในระบบฐานภาษี ประมาณ 4 ล้านคน
นั่น…หมายความว่า คนเหล่านี้ยังพอมีกำลังในการใช้จ่าย เพราะมีข้อแม้ มีเงื่อนไข ที่ชัดเจนว่าคนที่เข้าโครงการช้อปดีมีคืนได้ ต้องไม่ใช่คนที่ถือบัตรคนจน และต้องไม่ใช่คนที่เข้าโครงการ ”คนละครึ่ง”
พูดง่าย ๆ ก็เลือกเอาว่าจะใช้สิทธิ์ในโครงการใด เลือกได้เพียงแค่ 1 โครงการ!!
ที่สำคัญ!! โครงการนี้จะคุ้มค่ากับการกระตุ้นเศรษฐกิจได้เพียงใด? ส่วนใหญ่แล้วบรรดาภาคเอกชน ห้างร้าน ค้าปลีกต่างออกมาสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล เพราะเท่ากับว่าช่วยทำให้ ”ขายดี” มากยิ่งขึ้น เมื่อขายของ ขายสินค้าได้ นั่นหมายความว่า บรรดาภาคเอกชนก็มีสภาพคล่องเพิ่มมากขึ้น
ไม่เพียงเท่านี้!!! การจับจ่ายใช้สอยที่เกิดขึ้นยังช่วยสร้างบรรยากาศทางเศรษฐกิจที่ดี จนส่งผลให้ความเชื่อมั่นเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ดีขึ้นบ้าง
แต่เอาเข้าจริง มาตรการระยะสั้น ๆ นี้อาจช่วยสร้างแรงสะพัดได้เพียงชั่วคราวในช่วงปลายปี ส่วนจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นคืนชีพมาเลยได้หรือไม่นั้น คงต้องอาศัยแรงขับเคลื่อนอื่นประกอบควบคู่กันไปด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…รายได้จากการท่องเที่ยว ที่ ณ เวลานี้ รัฐบาลกำลังคิดหนักว่าคุ้มค่าหรือไม่กับการทยอยเปิดประเทศ เพื่อดึงนักท่องเที่ยวเป็นกลุ่ม ๆ กลับมา
เอาเป็นว่า ณ เวลานี้ รัฐบาลจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสร้างบรรยากาศ ต้องกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศให้เกิดขึ้น เพราะอย่าลืมว่า ประเทศไทยอยู่ในอาการสะลึมสะลือ มาตลอดทั้งปี
ยิ่งเทศกาลแห่งความสุข เทศกาลแห่งความสนุกสนาน กำลังคืบคลานใกล้เข้ามาทุกวัน หากยังปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามชะตากรรม!! เสียงเรียกร้องให้รัฐบาลลาออกไป อาจยิ่งเสียงดังมากขึ้น มากขึ้น ก็เป็นไปได้!!
…….
EC Focus by Virgo
