วันศุกร์, กันยายน 20, 2024
spot_img
หน้าแรกHighlight“พี่สาวธนาธร”ตัดพ้อโดนใส่ร้าย-โจมตี ย้ำไม่เคยวิ่งเต้นจากนโยบายรถคันแรก
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“พี่สาวธนาธร”ตัดพ้อโดนใส่ร้าย-โจมตี ย้ำไม่เคยวิ่งเต้นจากนโยบายรถคันแรก

“พี่สาวธนาธร” ตัดพ้อ โดนใส่ร้ายจากบทสัมภาษณ์เก่าๆ ย้ำ “ไทยซัมมิท” ไม่เคยวิ่งเต้นใดๆ จากนโยบายรถคันแรก วอนหยุดโจมตีและขอความเป็นธรรม ยอมรับ “คนในครอบครัว” มายุ่งเกี่ยวการเมือง จึงถูกโจมตีเป็นเรื่องธรรมดา แต่ขออย่าบิดเบือนใส่ร้ายบริษัท

นางชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ พี่สาวของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก Jing Juangroongruangkit ระบุว่า… จากบทสัมภาษณ์ในนิตยสาร Forbes ในเดือน ก.ค. 2561 ซึ่งครบเป็นเวลา 3 ปีพอดี ส่วนหนึ่งใจความว่า…ขณะที่ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมากลุ่มไทยซัมมิทต้องเผชิญความผันผวนในหลายด้าน ตั้งแต่ภัยน้ำท่วมปี 2554 นโยบายรถคันแรก หรือแม้แต่ช่วงราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ จึงทำให้ตัวเลขรายได้รวมของกลุ่มไทยซัมมิทมีความผันผวน อย่างไรก็ตาม รายได้ยังเติบโตเฉลี่ย 5% ต่อปี และเติบโตสูงสุดที่ 7.5 หมื่นล้านบาทในปี 2555 จากนโยบายคืนภาษีรถคันแรก ส่งผลให้ยอดผลิตถยนต์ในประเทศสูงถึง 2.4 ล้านคัน และมียอดขายในประเทศถึง 1.4 ล้านคัน แม้หลังจากนั้นยอดการผลิตรถยนต์ในประเทศจะไม่เคยแตะ 2 ล้านคันอีกเลย เช่นเดียวกับที่ยอดขายรถยนต์ในประเทศก็ไม่เคยขึ้นไป 9 แสนคัน

“ปีนี้ตั้งเป้าหมายว่าเมื่อมาตรการภาษีรถคันแรกจบ ยอดขายรถยนต์ในประเทศน่าจะขึ้นไปได้ถึง 8 แสนคัน” ชนาพรรณกล่าว

ข้อความดังกล่าว หากอ่านให้ครบกระบวนความ จะเข้าใจความหมายได้ว่า ถ้อยคำได้มุ่งเน้นว่า ยอดการผลิตรถยนต์ของไทยในปี 2555 สูงมาก เนื่องจากมีนโยบายรถคันแรก เพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมโดยรวม เนื่องจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปีก่อนหน้า ซึ่งโรงงานส่วนใหญ่ที่โดนน้ำท่วมเป็นโรงงานผู้ผลิตรถยนต์และชิ้นส่วน และหลายบริษัทเป็นบริษัทญี่ปุ่น จึงมีการทวงถามจากบริษัทต่างชาติและการทวงถามในเชิงรัฐต่อรัฐถึงการช่วยเหลืออย่างมาก รัฐบาลจึงออกหลักเกณฑ์รถคันแรกขึ้น ซึ่งเป็นธรรมดาว่าเมื่อยอดขายของลูกค้าซึ่งคือผู้ผลิตรถยนต์มีมาก ในฐานะของผู้ผลิตชิ้นส่วนก็ย่อมขายมากไปด้วย

คำสัมภาษณ์ดังกล่าวผ่านมา 3 ปี และเหตุการณ์ดังกล่าวผ่านมาเกือบ 10 ปี แต่ก็ยังมีผู้ที่พยายามนำเรื่องนี้ไปโยงการเมือง ทั้งๆ ที่ในช่วงเวลานั้น ไม่มีบุคคลในครอบครัวคนใดข้องเกี่ยวกับทางการเมือง โดยพยายามเบี่ยงเบนประเด็นว่า

-นโยบายนี้ออกมาเพื่อเอื้อกลุ่มบริษัทไทยซัมมิท ทั้งที่ความจริง มีข่าวให้เห็นมากมายว่าผู้ที่เดือดร้อนและกดดันรัฐบาลคือนักลงทุนต่างชาติ

-จากที่มีผู้โจมตีบิดเบือนว่า “งบ 9.1 หมื่นล้านที่รัฐบาลในขณะนั้นออกมาเพื่อช่วยเหลือ ไทยซัมมิทกวาดงบรัฐไป 7.5 หมื่นล้าน” ความเป็นจริงก็คือ ตัวเลขก็คือยอดขายของไทยซัมมิททั้งหมดในปีนั้น แต่บริษัทก็มีฐานยอดขายด้วยตัวเองอยู่จำนวนมากอยู่แล้ว และไทยซัมมิทก็ไม่ได้เป็นผู้เรียกร้องวิ่งเต้นใดๆ ในเรื่องนโยบายนี้เลย การขึ้นลงของรายได้เป็นไปตามปกติจากคำสั่งซื้อของลูกค้าเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งงบประมาณเหล่านี้ ถูกนำไปช่วยสนับสนุนแก่ประชาชนผู้ถูกน้ำท่วมและประชาชนที่ซื้อรถ เป็นนโยบายที่ได้แก่ประชาชนอย่างถ้วนหน้า ไม่ได้เป็นการสนับสนุนบริษัทใดๆ เลยที่อยู่ในอุตสาหกรรมรถยนต์และชิ้นส่วน

เป็นที่เข้าใจดีว่า การมีคนในครอบครัวเข้ามายุ่งการเมือง ทำให้ต้องถูกโจมตีบ้างเป็นธรรมดา แต่การบิดเบือนข้อมูลจากคำสัมภาษณ์มาตลอดแบบเดิมๆ เป็นระยะเวลา 3 ปี ทำให้ตนเองและบริษัทได้รับความเสื่อมเสีย และข้อความนี้ก็ยังถูกนำมาใช้ และใช้อย่างบิดเบือนอยู่ตลอดแม้จนถึงปัจจุบันเมื่อต้องการโจมตีให้บริษัทเข้าไปพัวพันกับการเมือง ดังนั้นขอความกรุณาพี่น้องประชาชนช่วยกันทำความเข้าใจ ใช้วิจารณญาณในการอ่านข่าว และขอความเป็นธรรมให้กลุ่มบริษัทไทยซัมมิท ที่ประกอบกิจการด้วยความซื่อสัตย์โปร่งใสตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาด้วยค่ะ

https://forbesthailand.com/…/%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8…

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img