ฉบับพลันทีที่มีคนส่งภาพวัดมณฑปติดป้าย ไม่รับเผาศพตำรวจ ความรู้สึกรู้ทันทีว่า “เจ้าอาวาสไม่รอดแน่” ยิ่งตอนหลังมีคนส่งคำสัมภาษณ์ท่านไปออกสื่อช่องหนึ่งดันไปสัมภาษณ์ทำนองไม่เห็นด้วยกับ “การคงไว้ ม.112” และให้รัฐบาลเปิดใจรับฟังเสียงคนใหม่
“เปรียญสิบ” รู้ทันทีว่า โดนเด้งจากเจ้าอาวาสร้อยเปอร์เซ็นต์
ท่านถูกสื่อแหย่ โยนคำถาม ไม่รู้เท่าทันสื่อ ถูกสื่อ “เล่นงาน” เข้าแล้ว
“เปรียญสิบ” อยู่วงการโทรทัศน์มา 15 ปี ผลิตรายการโทรทัศน์สดในสถานการณ์แบบนี้มาทุกยุคที่มีการชุมนุม ใครก็ตามที่พูดแล้ว ไม่เข้าหูชนชั้นอำนาจ คิดเห็นต่างจากรัฐบาล ต้องถูก “ขจัด” ออกไป
และใครก็ตามไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์หรือนักวิชาการ นักธุรกิจ หากพูดเข้าข้างรัฐ จะถูกให้เชิญมา “ออกรายการ” ทันที
ช่วงผลิตรายการโทรทัศน์ในสถานการณ์การเมืองร้อนแรงแบบนี้ แขกที่มาออก หากพูดต่างจากสิ่งที่รัฐต้องการ ถูกสั่งให้ “ตัดกลางอากาศทันที” รสชาติแบบนี้ “พระเทพปฏิภาณวาที” หรือเจ้าคุณพิพิธ วัดสุทัศน์ฯ คงจำเหตุการณ์ได้, พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาส คงจำเหตุการณ์วันนั้นได้ไม่รู้ลืม
อยากเตือน!! พระคุณเจ้าทุกรูปในสถานการณ์การเมืองแบบนี่ให้ “ระมัดระวังคำพูด” ให้มากที่สุด
ประเทศไทยมีสื่อแบ่งขั้ว บางสื่อเป็นของรัฐ บางสื่อผู้บริหารนิยมชื่นชอบรัฐบาล บางสื่อไม่ชอบ การสัมภาษณ์ให้ข่าวต้องระวัง ระวังตกเป็นเหยื่อ ตกเป็นเครื่องมือของสื่อ ยิ่งเกี่ยวข้องกับสถาบันหลักของชาติ เกี่ยวข้องกับการชุมชนยิ่งต้อง “ระมัดระวัง”
หากจะพูด ๆ ได้ เมื่อพระคุณเจ้าต้องการให้บ้านเมืองสงบสุขและพูดเข้าข้างรัฐบาล
หากทำไม่ได้..อย่าฝืนสัมภาษณ์ออกสื่อสาธารณะเด็ดขาด
ความจริงวันนี้มีเรื่องมากมายอยากจะให้สังคมร่วมกันตรวจสอบเพื่อความเจริญและความงอกงามของพระพุทธศาสนาในบ้านเรา
บางเรื่องก็อยากตั้งคำถามถึง “มหาเถรสมาคม” มีไว้ทำไม?? เพราะตอนนี้คณะสงฆ์ทั่วประเทศเดือดร้อนหนัก ทั้งรายจ่ายภายในวัด, มีกิจกรรมที่ต้องช่วยเหลือประชาชน ,
ยุคนี้มหาเถรสมาคมมีแต่คำสั่ง..แต่เงินและสิ่งของไม่เคยส่งถึงพระสงฆ์ต่างจังหวัดเลย..ปล่อยให้ทำกันเองตามอัตภาพ..ซ้ำเจ้าคณะผู้ปกครองระดับภาค เจ้าหนใหญ่ ก็ไม่เคยใส่ใจ ลงไปดูแล..
และยิ่งแปลกบางวัด แทนที่จะขึ้นป้ายเป็นพระดำริ “สมเด็จพระสังฆราช” ในการช่วยเหลือประชาชนหรือเผาศพฟรียุคโควิด-19 ดันไปเอาชื่อพระสมเด็จบางรูปขึ้นแทนและชูแทน หรือสมเด็จพระสังฆราชของเรา ไม่สามารถดลบันดาลสิ่งที่พระคุณเจ้าต้องการได้
อย่างเช่น..มีคำเล่าลือว่าเรื่อง “สมณศักดิ์” ตอนนี้มหาเถรสมาคมน่าจะ “หมดอำนาจ” แล้ว
และแม้กระทั้งบางปรากฎการณ์บางอย่างก็อยากตั้งคำถามถึง “ผู้บริหารมหาวิทยาลัยสงฆ์” ว่าทำไมปล่อยตำแหน่ง “วิชาการระดับ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ – รองศาสตราจารย์” กันง่ายจัง
เพราะบางรูป บางคน ดูจากรายชื่อการแต่งตั้ง ตัวจำวัดหรืออยู่กรุงเทพมหานคร แต่!! ตำแหน่งทางวิชาการดันไปอยู่ขอนแก่น หรือ เชียงใหม่..เอาเวลาที่ไหนไปสอน ชั่วโมงสอนครบสมควรกับการได้ตำแหน่งหรือไม่ และวุฒิการศึกษาถูกต้องตามมาตรฐานการไทยหรือไม่ และจริงหรือไม่ มีคำร่ำลือว่าในมหาวิทยาลัยสงฆ์มีขบวนการรับ “จ้างเขียนผลงานวิชาการและรับจ้างทำวิทยานิพนธ์”
พระพุทธศาสนาในประเทศไทย.สถาบันสงฆ์ไทยบอบช้ำมามากพอแล้ว..ปัดกวาดพื้นที่สร้างพระภิกษุให้เป็นปัญญาชนแบบ “มหาวิทยาลัยสงฆ์” ปลอดจากการทุจริตสักที่เถอะ??
……………………..
คอลัมน์ : ริ้วผ้าเหลือง
โดย…“เปรียญสิบ” : [email protected]