ช่วงนี้เห็นได้ชัดว่า รัฐบาลมีการเร่งจัดทัพ-ทำโผแต่งตั้งโยกย้าย “บิ๊กข้าราชการ” ระดับ 11-10 โดยมีการนำรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายเข้า ครม.กันหลายกระทรวงกันแต่หัววัน ทั้งที่เพิ่งจะเดือนก.ค. แต่ระดับ 11-10 หลายกระทรวงผ่าน ครม.เรียบร้อยแล้ว
อย่างสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็มีทั้ง “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ที่ตั้ง “ปลัดกระทรวงเกษตรฯคนใหม่” ไปแล้ว คาดว่าต้นเดือนส.ค.นี้ จะมีการชงโผระดับ 10 ของก.เกษตรฯ เข้าที่ประชุมอีกร่วมสิบตำแหน่ง ที่แน่นอนว่า ทุกตำแหน่งต้องให้ “รัฐมนโท-ธรรมนัส พรหมเผ่า” ประธานที่ปรึกษา พรรคกล้าธรรมและอดีตรมว.เกษตรฯ เห็นชอบ ถึงจะเอาเข้า ครม.ได้
และอีกบางกระทรวงก็เริ่มทยอยทำโผจัดทัพเรียบร้อยแล้วเช่นกัน อาทิ “กระทรวงยุติธรรม-กระทรวงสาธารณสุข” โดยเฉพาะ “กระทรวงการคลัง” ที่ปีนี้ ทำคลอดโผแต่งตั้งโยกย้ายระดับ 10 โดยเฉพาะอธิบดีตำแหน่งหลัก ๆ เสร็จเร็วกว่าทุกปี ขณะที่อีกหลายกระทรวง ก็จะมีการส่งโผแต่งตั้งโยกย้ายเข้า ครม.ภายในไม่เกินเดือนส.ค.นี้

หลังมีการส่งสัญญาณมาจากแกนนำรัฐบาลโดยเฉพาะ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯ-รมว.มหาดไทย ในฐานะ “รักษาการนายกรัฐมนตรี” ที่ให้ทุกกระทรวงทำโผแต่งตั้งโยกย้ายให้เสร็จ เพื่อให้หลัง 30 ก.ย.นี้ คนที่เข้าไปรับตำแหน่งใหม่ จะได้เข้าไปทำงานได้ทันที
แต่ในเชิงการเมือง หลายฝ่ายเห็นตรงกันว่า เหตุที่รอบนี้รัฐบาลเร่งทำโผแต่งตั้งโยกย้ายเร็ว ก็เพราะไม่มั่นใจต่อสถานการณ์การเมือง ที่รัฐบาลเพื่อไทยกำลังเผชิญอยู่ โดยเฉพาะสถานะของ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ที่อยู่ระหว่างถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ฯ คดีคลิปเสียง “ฮุน เซน” และคาดว่า ศาล รธน.จะมีคำวินิจฉัยช้าสุดคงไม่เกินก.ย.ที่จะถึงนี้
ตอนนี้ “แพทองธาร” เสี่ยงจะหลุดจากเก้าอี้นายกฯ หรือไม่สุดท้ายอาจลาออกก่อนศาล รธน.ตัดสิน โดยทั้ง 2 ทาง ก็ทำให้ต้องมีการโหวตนายกฯใหม่-ตั้งรัฐบาลกันใหม่ ก็ใช้เวลาร่วมหนึ่งเดือน-หนึ่งเดือนครึ่ง ในการฟอร์มรัฐบาล-แถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ที่หาก “คดีแพทองธาร” เสร็จก.ย. เท่ากับกว่า “รัฐบาลใหม่” จะเข้าทำงานก็เดือนพ.ย.เข้าไปแล้ว
จุดนี้คือสิ่งที่ทำให้ “รัฐบาลเพื่อไทย” พยายามเร่งจัดโผ “บิ๊กข้าราชการ” ปีนี้ให้เสร็จในตำแหน่งหลัก ๆ เพื่อจัดทัพ นำคนที่ตัวเองสนับสนุนไว้วางใจ ไปอยู่ในตำแหน่งสำคัญ เพื่อผลการเมืองในอนาคต และเตรียมพร้อมไว้หากสถานการณ์การเมืองวันข้างหน้า ถ้ามีอะไรพลิกผัน
อย่างไรก็ตาม การจัดบิ๊กข้าราชการในทางการเมือง ที่เป็นจุดสนใจก็อยู่ที่การจัดทัพ “มหาดไทย-ตำรวจ-กองทัพ” ที่คาดว่า กว่าจะเริ่มขยับ เร็วสุดก็คง กลางเดือนส.ค.หรือปลายเดือนส.ค. เว้นแต่มี “สัญญาณจากฝ่ายการเมือง” ขอให้ “กระทรวงมหาดไทย-สำนักงานตำรวจแห่งชาติ-กองทัพ” เร่งจัดทัพปีนี้เร็วขึ้นมากว่าเดิม

ในส่วนของ “กองทัพ” ปีนี้ก็น่าสนใจ เพราะ “ผู้นำเหล่าทัพ” เกษียณกันเกือบหมด ยกเว้นแค่ “พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์” ผบ.ทบ. โดยทั้ง “พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร” ปลัดกลาโหม-“พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี” ผบ.สส.-“พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล” ผบ.ทอ.-“พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์” ผบ.ทร. ต่างเกษียณกันหมด ทำให้ “โผทหาร” ปีนี้ น่าสนใจไม่น้อย
โดยเฉพาะในส่วน “แม่ทัพภาค” ซึ่งที่ผ่านมา ตำแหน่งแม่ทัพภาคที่อยู่ในความสนใจ ก็จะอยู่ที่ “แม่ทัพภาคที่ 1” ที่รับผิดชอบพื้นที่ภาคกลางและตะวันออก และตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร เพราะเวลา “ทหารทำรัฐประหา“” กองทัพภาคที่ 1 จะมีส่วนสำคัญมาตลอดและผู้เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ก็มักขึ้นไปเป็น “ผบ.ทบ.” และมีตำแหน่งสำคัญในกองทัพมาตลอด เช่น “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ-พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา-พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์-พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้-พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์” เป็นต้น
นอกจากนี้ คนก็จะโฟกัสไปที่ตำแหน่ง “แม่ทัพภาคที่ 4” เพราะต้องรับผิดชอบการดูแลสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ ที่ยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องทุกปี เพียงแต่ระยะหลังอาจลดความรุนแรงไป
จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมา ตำแหน่ง “แม่ทัพภาคที่ 2” ที่รับผิดชอบภาคอีสาน และ “แม่ทัพภาคที่ 3” ซึ่งรับผิดชอบภาคเหนือ แทบไม่ค่อยมีคนโฟกัสมากนัก
แต่ “โผทหารปีนี้” ตำแหน่ง “แม่ทัพภาคที่ 2 คนใหม่” ที่จะมาแทน “พล.ท.บุญสิน พาดกลาง” ที่เกษียณปีนี้ จะกลายเป็น “แม่ทัพภาค” ที่ถูกจับตามองมากที่สุด หลังสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่อยู่ในพื้นที่ 4 จังหวัด “ศรีษะเกษ-สุรินทร์-บุรีรัมย์-อุบลราชธานี” คุกรุ่น-ตึงเครียดมาหลายเดือน จนสุดท้ายเกิดการปะทะด้วยอาวุธหนักตั้งแต่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา ทำให้ทั้งสองฝ่าย มีผู้เสียชีวิต-บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
เลยยิ่งทำให้คนจับตามองกันมากว่า “ใครจะมาเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 คนใหม่” เพื่อเข้ามาดูแลสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ที่แม้ต่อให้ในอนาคตอันใกล้ จะมีการหยุดยิง แต่ดูจากเหตุปะทะในช่วงนี้ คาดได้ไม่ยากว่า “ศึกนี้หนังยาว ยังไง สถานการณ์ระหว่างไทยกับเขมร คงตึงเครียดไปอีกนานพอสมควร”
ดังนั้น คนมาเป็น “แม่ทัพภาคที่ 2 คนใหม่” จึงต้องเป็นคนที่รู้พื้นที่เป็นอย่างดี และต้องทำงานในพื้นที่มาตลอด เพราะสถานการณ์ไม่เปิดทางให้ต้องมาเรียนรู้กันใหม่ แต่ต้องได้แม่ทัพที่เข้ามาแล้ว รับไม้ต่อจาก “พล.ท.บุญสิน” ได้เลย โดยเฉพาะต้องพร้อม หากสถานการณ์ไทย-เขมรในวันข้างหน้า กลับมาปะทุอีก ก็ต้องมีความเข้าใจและปฏิบัติการตาม “แผนยุทธบดินทร์” ที่กองทัพใช้ในการรบกับกัมพูชาได้ทันที

ที่ถึงตอนนี้ เต็ง 1 หลายฝ่าย เทน้ำหนักให้ “พล.ต.ณัฎฐ์ ศรีอินทร์” รองแม่ทัพภาคที่ 2 แม้ก่อนหน้านี้อาจจะเคยมีบางชื่อโผล่มาว่า อาจเบียดเข้ามาแทรก
สำหรับ “พล.ต.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์” ถือว่าเป็นนายทหารระดับสูงในกองทัพภาคที่ 2 ที่ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับ “พล.ท.บุญสิน พาดกลาง” มาตลอด พื้นเพก็เป็นคนในพื้นที่คือ จ.สุรินทร์ ทำให้พูดภาษาเขมรได้ จบเตรียมทหารรุ่น 27 อยู่ในพื้นที่ภาค 2 มาตลอดในช่วงชีวิตการเป็นทหาร มีเกียรติประวัติเช่น รางวัลเกียรติยศจักรดาว ศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหารดีเด่น สาขาการทหาร เป็นต้น
คาดว่า “ฝ่ายการเมือง” ก็คงไม่กล้าเข้าไปแทรกแซงอะไรกองทัพ หากเสนอชื่อ “พล.ต.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์” เข้ารับตำแหน่ง “แม่ทัพภาคที่ 2 คนใหม่”
ส่วนการจัดทัพใน “ก.มหาดไทย-วงการตำรวจ” หากมีความเคลื่อนไหวที่สำคัญ จะนำเสนอในโอกาสต่อไป
………………………………….
คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง
โดย “พระจันทร์เสี้ยว”











