วันศุกร์, พฤศจิกายน 22, 2024
spot_img
หน้าแรกCOLUMNISTSปิดฉาก“เอเปค”-ปิดฉาก“ประยุทธ์” เมื่อ“นายกฯลุงตู่”ขออยู่ครบวาระ!!
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ปิดฉาก“เอเปค”-ปิดฉาก“ประยุทธ์” เมื่อ“นายกฯลุงตู่”ขออยู่ครบวาระ!!

กลายเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมให้แต่ละฝ่ายไปแล้วจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้าน รัฐบาลหรือใครก็ตาม  กับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการทำโพล ไม่ว่าจะเป็นสำนักไหนก็ตาม ถ้าผลสำรวจเอื้อใคร ก็จะถูกฝ่ายนั้น นำไปใช้ประโยชน์ทั้งทางการเมือง และสร้างความชอบธรรม

ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา “นายธนกร วังบุญคงชนะ” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาให้ความเห็นถึงผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ จากสำนักวิจัยที่ประเมินภาพรวมสถานการณ์ความคิดเห็นของประชาชนต่อการเมืองและผู้นำ โดยทั้ง สำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) และ “สวนสุนันทาโพล” 

อ้างเสียงประชาชนส่วนใหญ่สะท้อนผลประเมิน ให้ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม มีความเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป ความเหมาะสมบุคคลที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ประชาชนยังคงมีความเห็น 68.2 % จาก “SUPER POLL” และ 16.68%  จาก “สวนสุนันทาโพล” 

โดยประชาชนให้เหตุผลว่าพล.อ.ประยุทธ์ มีความจงรักภักดีต่อสถาบันหลักของชาติ อดทน อดกลั้น มุ่งมั่นทุ่มเททำงานให้ประเทศชาติและประชาชนต่อเนื่อง และกำลังทำงานต่อเนื่องฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศแก้ปัญหาปากท้องให้กลับมาเปิดประเทศได้

ที่โดดเด่นคือ ยังไม่พบปัญหาทุจริตคอร์รัปชันที่รุนแรง เอื้อต่อผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง ไม่เหมือนอดีตนายกฯที่มีปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น เอื้อผลประโยชน์ต่อครอบครัวและพวกพ้อง เป็นต้น

ธนกร วังบุญคงชนะ

ขณะที่ “โฆษกรัฐบาล” ซึ่งทำงานใกล้ชิดหัวหน้ารัฐบาล ยังออกปิดท้ายด้วยบทสรุปว่า ผลโพลเป็นส่วนหนึ่งของเสียงสะท้อนของสังคมส่วนใหญ่ว่า ท่านนายกฯเป็นบุคคลที่ ยังคงมีผลงานเชิงประจักษ์ และพร้อมเดินหน้าทำงานด้วยความสุจริต ซื่อสัตย์ จงรักภักดี ซึ่งท่านนายกฯ ให้คำมั่นว่าจะมุ่งมั่นตั้งใจทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนทุกลุ่ม จนกว่าจะครบวาระ ของรัฐบาลชุดนี้อย่างแน่นอน

ต้องยอมรับว่า ผลโพลสองสำนักออกมาช่วงฝ่ายค้านระส่ำระสาย “เพื่อไทย” (พท.) ถูกสังคมกดดันตั้งคำถาม เรื่องใครจะก้าวเข้ามาเป็น หัวหน้าพรรคตัวจริง  ใครจะอยู่ในบัญชีแคนดิเดตนายกฯ ซึ่งต้องนำมาโชว์ในช่วงหาเสียง แม้สื่อมวลชนจะเพียรซักถาม แต่ก็ไม่ได้คำตอบ ขณะที่เกือบทุกพรรคการเมืองต่าง ประกาศชูผู้นำพรรค ให้เป็นทางเลือกในการชิงเก้าอี้ผู้นำประเทศ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า เพื่อแสดงถึงความพร้อมในทางการเมือง หวังให้ประชาชนมีทางเลือก

แม้ “นายประเสริฐ จันทรรวงทอง” เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) จะออกมาชี้แจงถึงกระแสข่าวที่มีการเปิดเผยรายชื่อ แคนดิเดตนายกฯของพรรค พท. ว่า รายชื่อแคนดิเดตนายกฯของพรรค ที่ออกมาตามหน้าสื่อ ยังไม่มีรายชื่อที่แคนดิเดตนายกฯแท้จริงของพรรค ซึ่งรายชื่อที่ออกมาเป็นการคาดเดาเท่านั้น และก็เป็นคนเก่าๆ หน้าเดิมๆ 

ยืนยันว่าขณะนี้พรรค พท. มีรายชื่อแคนดิเดตนายกฯแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายชื่อได้ เพราะเราอยากจะรอเปิดเผยรายชื่อในช่วงใกล้วันเลือกตั้งทีเดียว รองรับว่าเป็นคนหน้าใหม่ ถูกใจทั้งคนในพรรคและถูกใจประชาชนแน่นอน… ซึ่งก็ไม่ได้สร้างความกระจ่าง ให้กับบรรดาคอการเมือง แม้หลายคนจะรู้ว่า ในที่สุด ก็เป็นเรื่องของคนตระกูล “ชินวัตร” จะเป็นคนเลือกคนตัดสินใจ 

ประเสริฐ จันทรรวงทอง

มิหนำซ้ำเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังมีคลิปวีดีโอหลุดออกมาสู่สาธารณะ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องข้องกับการจัดงานเลี้ยง ส.ส.และผู้บริหารพรรคพท. เมื่อไม่นานมานี้ และมี “นายทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ วิดีโอคอลเข้ามาพูดคุยกับ ส.ส.ของพรรคด้วย ซึ่งเนื้อหาถูกตีความว่า อดีตนายกฯซึ่งมีสถานะเป็น นักโทษหนีคดีเข้ามาครอบงำ ส่งผลทำให้ฝ่ายตรงข้ามนำเรื่องไปยื่นให้ยุบพรรค เพราะพฤติกรรมนายทักษิณ อาจเข้าข่ายครอบงำพรรค 

ทั้งนี้ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 92 (4) ยินยอมหรือกระทำการใดอันทำให้บุคคลอื่น ซึ่งมิใช่สมาชิกกระทำการอัน เป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำกิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทำให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม เพราะมีโทษถึงยุบพรรค และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งคณะกรรมการบริหาร เป็นเวลา 10 ปีด้วย ทั้งนี้ยังครอบคลุม ไปถึงคนที่ไม่ใช่สมาชิกพรรค เพราะถูกเว้นวรรคทางการเมือง ถูกตัดสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งตลอดชีพ

เท่ากับเรื่องนี้จะกลายเป็นบ่วง ที่พันธการพรรคแกนนำฝ่ายค้าน ซึ่งที่ผ่านมา “พท.” ก็มักถูกวิจารณ์อยู่ตลอด ตกอยู่ภายใต้ การชี้นำของ “ทักษิณ” และเครือญาติ

ส่วน “ก้าวไกล” (กก. ) พรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่มี “นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เป็นหัวหน้าพรรค ก็ถูกตั้งคำถามเรื่องการจุดยืนที่มีต่อสถาบัน หลังเสนอแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112  รวมทั้งให้การสนับสนุน ม็อบราษฎร” ซึ่งใช้สัญลักษณ์ชู 3 นิ้ว โดยหนึ่งในข้อเสนอคือ ปฏิรูปสถาบัน

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์

อีกทั้งส.ส. พรรคกก.หลายคน ยังทำตัวเป็นนายประกัน เวลากลุ่มคนต่อต้านรัฐบาล ถูกจับกุมดำเนินคดี  อันเนื่องจากทำผิดกฎหมายใช้ความรุนแรง แม้กระทั่งคนที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายล่วงละเมิดสถาบัน ก็ได้รับการช่วยเหลือจากเครือข่ายพรรคคกก. และ กลุ่มก้าวหน้าที่มี “นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” เป็นหัวหน้ากลุ่ม 

ยิ่งระยะหลัง บรรดาม็อบร้อยชื่อ แตกหน่อออกมาเป็นหลายกลุ่ม แสดงพฤติกรรมที่คนในสังคมส่วนใหญ่รับไม่ได้ โดยเฉพาะ “กลุ่มทะลุแก๊ส” ซึ่งพยายามยึดสามเหลี่ยมดินแดน เป็นที่ป่วนเมือง ใช้อาวุธร้ายแรงมาก่อเหตุ แม้เครือข่ายพรรคกก. หวังจะได้คะแนนเสียงจากคนรุ่นใหม่ แต่ก็มีประชาชนจำนวนไม่น้อย รับไม่ได้กับแนวทางพรรคการเมืองนี้ 

เมื่อสองพรรคแกนนำพรรคฝ่ายค้านยังไม่พร้อม การสร้างกระแสกดดัน ทั้งในและนอกสภาฯ ก็ทำได้ไม่เต็มที่  จึงเป็นโอกาสดีของ “พล.อ.ประยุทธ์” และ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แกนนำรัฐบาล ที่จะอาศัยช่วงจังหวะเวลานี้ ยึดครองอำนาจรัฐให้นานที่สุด อีกทั้งพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 65 เพิ่งมีผลบังคับใช้  การจัดทัพข้าราชการ ทหาร ทหารตำรวจ อยู่ในมือผู้รัฐบาล จึงต้องการ สร้างความได้เปรียบ ทางการเมืองให้นานที่สุด

อีกทั้งการออกมาแถลงของโฆษกรัฐบาล ซึ่งระบุว่า นายกฯให้คำมั่นว่าจะมุ่งมั่นตั้งใจทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนทุกลุ่ม จนกว่าจะครบวาระ ของรัฐบาลชุดนี้อย่างแน่นอน ก็สอดคล้องกับท่าที “พล.อ.ปรยุทธ์” ซึ่งส่งสัญญาณระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 12 ต.ค.ที่ผ่านมา   

โดยก่อนเข้าสู่วาระการประชุม “พล.อ.ประยุทธ์” ได้พูดถึงเรื่องการเปิดประเทศ ให้ครม.มองไปในวันข้างหน้าที่ประเทศจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเวทีใหญ่ๆหลายเวที โดยเฉพาะ การประชุมเอเปค ในปี 65 ที่ไทยจะเป็น เจ้าภาพการประชุม ตั้งแต่วันที่ 12 พ.ย.นี้  ซึ่งถือเป็นโอกาสดีที่สถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายหวังว่าผู้นำระดับโลกจะมาประชุมพบกัน 

อีกทั้งนายกฯ พูดถึงเรื่องดังกล่าวได้พูดอย่างติดตลกว่า “ไม่รู้ว่าจะอยู่ถึงตอนนั้นหรือเปล่า แต่ยืนยันว่ายังไม่มีการยุบสภาในตอนนี้ คิดกันไปเอง ไม่ยุบสภาฯ ไม่เลือกตั้งในตอนนี้ เดี๋ยวประชาชนจะสับสน ช่วงนี้มีแต่การเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) อย่างเดียว”

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

สำหรับ การประชุมเอเปค เป็นกรอบความร่วมมือของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ประกอบด้วยสมาชิก 21 เขตเศรษฐกิจ ได้แก่ ออสเตรเลีย บรูไนฯ แคนาดา ชิลี จีน จีนฮ่องกง อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย เม็กซิโก นิวซีแลนด์ ปาปัวนิวกินี เปรู ฟิลิปปินส์ รัสเซีย สิงคโปร์ จีนไทเป ไทย สหรัฐฯ และเวียดนาม

โดยในปี 2563 การค้าของไทยกับกลุ่มเศรษฐกิจเอเปค มีมูลค่า 315,667 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนถึง 71.9% ของการค้ารวมของไทย เป็นการส่งออกจากไทยไปเอเปค 164,955 ล้านเหรียญสหรัฐ (71.2% ของการส่งออกรวมของไทย) และนำเข้าจากเอเปค 150,711 ล้านเหรียญสหรัฐ (72.8% ของการนำเข้ารวมของไทย)

ซึ่งในการประชุมจะมีผู้นำจากชาติมหาอำนาจหลายชาติเข้าร่วมประชุม ซึ่งถือเป็นกิจกรรมระดับโลก หลายคนเชื่อว่า “พล.อ.ประยุทธ์” อยากจะมีส่วนร่วมในงานสำคัญครั้งนี้ เพราะถือเป็นเกียรติประวัติสำคัญในชีวิต 

แม้ว่า ในทางการเมืองบางคนเชื่อว่า นับจากนี้หัวหน้ารัฐบาลจะต้องเผชิญกับแรงกดดัน ทั้งในและนอกสภาฯ แต่ในเมื่อฝ่ายค้านยังหาใบเสร็จ มาจับผิดหัวหน้ารัฐบาลไม่ได้ ต่อให้ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็ยากที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาล เหมือนศึกซักฟอกที่ผ่านมา เหลือแต่ขวากหนามสำคัญคือ วาระการดำรงตำแหน่งนายกฯ ซึ่งฝ่ายค้านมองว่าครบ 8 ปีในพ.ศ.2565 ซึ่งก็คงต้องถูกร้องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ (รธน.) ให้วินิจฉัยแน่ ซึ่งก็ต้องลุ้นว่า บทสรุปจะเป็นอย่างไร

บางทีถ้า “พล.อ.ประยุทธ์” อ่านการเมืองไทยออก อาจจะเลือกปิดฉากถนนการเมือง  หลังรัฐบาลอยู่ครบวาระในปี 66 เพื่อเดินไปในเส้นทางใหม่ เพราะเมื่อถึงวันนั้น หัวหน้ารัฐบาลก็จะอยู่ในตำแหน่งนายกฯ เกือบ 10 ปี เพียงแต่เรื่องนี้อาจอยู่ในใจ ยังไม่อยากบอกให้ใครรู้

……………………………………

คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก

โดย “แมวสีขาว” 

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img