ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.38 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัว” ขณะที่บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.32% หลังรายงานยอดตำแหน่งงานเปิดรับของสหรัฐฯ ล่าสุดปรับตัวลดลงและออกมาแย่กว่าคาด
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.38 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัว” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ยังคงเคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน ในลักษณะ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.35-32.51 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวไร้ทิศทางเช่นกันของเงินดอลลาร์ แม้ว่าเงินดอลลาร์จะพอได้แรงหนุนบ้าง จากการอ่อนค่าลงของเงินยูโร (EUR) ในช่วงแรก
แต่การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็ถูกชะลอด้วยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมาผสมผสาน โดยยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTS Job Openings) เดือนมิถุนายน กลับปรับตัวลดลงสู่ระดับ 7.437 ล้านตำแหน่ง แย่กว่าที่ตลาดคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ย 2 ครั้งของเฟดในปีนี้ (เดิมตลาดให้โอกาสราว 75% เพิ่มขึ้นเป็น 85%) แม้ว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดย Conference Board ในเดือนกรกฎาคม จะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 97.2 จุด ดีกว่าคาดชัดเจนก็ตาม
นอกจากนี้ เงินบาทยังพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่า ตามการทยอยปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำจากโซนแนวรับระยะสั้น ตามจังหวะการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯและการย่อตัวลงบ้างของเงินดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเพิ่มโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้
บรรยากาศตลาดหุ้นสหรัฐฯพลิกกลับมาอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว ท่ามกลางรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ที่ออกมาน่าผิดหวัง (ผู้เล่นในตลาดยังคงรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่) อีกทั้ง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯก็ออกมาผสมผสาน ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.30%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวด์สูงขึ้น +0.29% แม้จะเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลดลงหนักของ Novo Nordisk -23% หลังบริษัทปรับลดคาดการณ์รายได้และผลกำไร ทว่า ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มอุตสาหกรรมการบิน-ทหาร ท่ามกลางความหวังว่า ข้อตกลงการค้าล่าสุดระหว่างสหภาพยุโรปกับสหรัฐฯ อาจส่งผลประโยชน์กับกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าว
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์นั้นพบว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.32% หลังรายงานยอดตำแหน่งงานเปิดรับของสหรัฐฯ ล่าสุดปรับตัวลดลงและออกมาแย่กว่าคาด ทำให้ ผู้เล่นในตลาดต่างปรับเพิ่มโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ นอกจากนี้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็ทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว เพื่อป้องกันความเสี่ยงในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน และความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
โดยประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯอาจปรับตัวสูงขึ้นได้ชัดเจนอีกครั้ง (หรืออาจจะปรับตัวลดลงต่อเนื่อง) ในช่วงสัปดาห์ต้นเดือนสิงหาคมที่ตลาดจะรับรู้ แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่างยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ซึ่งเราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ หลัง Risk-Reward มีความน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงโซน 4.40%-4.50% สำหรับบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ (สามารถเน้นทยอยซื้อ Buy on Dip ได้)
ทางด้านตลาดค่าเงินนั้น เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แม้จะได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าบ้าง ตามการอ่อนค่าลงของเงินยูโร (EUR) ทว่ารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ออกมาผสมผสาน และการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯก็ทำให้เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงเคลื่อนไหวแถวระดับ 98.8 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.6-99.1 จุด)
ส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเพิ่มโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ ได้หนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.2025) ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง สู่โซน 3,385 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุม FOMC ของเฟด ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงราว 1.00 น. ตามเวลาประเทศไทยของเช้าวันพฤหัสฯ โดยเราประเมินว่า คณะกรรมการ FOMC ส่วนใหญ่ อาจมีมติเห็นชอบให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.25-4.50% เพื่อประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯให้รอบด้าน
ขณะเดียวกันภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ตลาดแรงงานก็ยังคงสดใสอยู่ ทำให้เฟดไม่จำเป็นต้องเร่งรีบลดดอกเบี้ย ทว่า อาจมีคณะกรรมการ FOMC บางท่าน อาทิ Christopher Waller และ Michelle Bowman ที่อาจสนับสนุนการลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ โดยอาจให้เหตุผลว่า ตลาดแรงงานสหรัฐฯได้ส่งสัญญาณชะลอตัวลงชัดเจน ส่วนนโยบายการค้าของสหรัฐฯ อาจไม่ได้กระทบต่อแนวโน้มเงินเฟ้อของสหรัฐฯมากนัก นอกจากนี้ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงก่อนรับรู้ผลการประชุม FOMC อย่างยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ในเดือนกรกฎาคม อัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 และข้อมูลตลาดบ้าน เป็นต้น
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซน ผ่านรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 และยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของเยอรมนีในเดือนมิถุนายน
ทางฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่น ผ่านรายงานยอดค้าปลีกและยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ในเดือนมิถุนายน โดยข้อมูลดังกล่าวจะทยอยรับรู้ในช่วงราว 6.50 น. ตามเวลาประเทศไทย ในช่วงเช้าวันพฤหัสฯนี้
ทั้งนี้ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อย่าง Meta และ Microsoft พร้อมรอติดตามแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับบรรดาประเทศคู่ค้าอย่างใกล้ชิด ส่วนในฝั่งไทย สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่ผู้เล่นในตลาดต่างรอติดตามเช่นกัน
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท แม้มีจังหวะทยอยแข็งค่าขึ้นจากโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงคืนที่ผ่านมา แต่เราคงมองว่า เงินบาทอาจมีความเสี่ยงผันผวนอ่อนค่าลงได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ (เน้น ข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ) ออกมาดีกว่าคาด อีกทั้งเฟดก็ยังคงย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย
ซึ่งภาพดังกล่าวอาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ย 2 ครั้งของเฟดในปีนี้ ลงบ้าง (จากระดับปัจจุบัน ราว 85%) หนุนให้เงินดอลลาร์มีโอกาสรีบาวด์สูงขึ้น หรือทรงตัวในกรอบ Sideways นอกจากนี้ หากรายงานผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคฯใหญ่สหรัฐฯ ออกมาสดใสและดีกว่าคาด หนุนให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ก็อาจเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนเงินดอลลาร์ในช่วงนี้ได้
อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินบาทอาจเป็นไปอย่างจำกัด หากราคาทองคำยังคงสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ หรืออย่างน้อย ราคาทองคำ (XAUUSD) ไม่ได้ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง หลังได้ปรับตัวลดลงจนทดสอบโซนแนวรับสำคัญ อย่าง เส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน แถวโซน 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์
นอกจากนี้เราไม่ปิดโอกาสที่เงินบาทจะพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง สอดคล้องกับมุมมองของเราที่ประเมินว่า เงินบาทมีความเสี่ยง Two-Way risk ซึ่งปัจจัยชี้ชะตา คือ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ และผลการเจรจาการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ
ทั้งนี้แนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนของเงินบาทในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ และผลการประชุม FOMC ของเฟด โดยสถิติในอดีตได้สะท้อนว่า เงินบาท (USDTHB) มีโอกาสผันผวนระดับ +/- 1 SD ได้ราว +0.30%/-0.20% ในช่วง 30 นาที หลังรับรู้ผลการประชุม FOMC
อย่างไรก็ตาม ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.15-32.55 บาทต่อดอลลาร์




















