“อนุทิน” เผยสธ.ลดระยะเวลาฉีดวัคซีนเข็ม 3 จากเดิม 4-6 เดือนเป็น 3 เดือน ส่วนงานเคาน์ทดาวน์เป็นอำนาจผู้ว่าฯแต่ละจังหวัด
เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 64 ที่ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้จะรายงานที่ประชุม คณะกรรมการการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. เกี่ยวกับการแพร่ระบาดสายพันธุ์โอมิครอน รวมถึงความพร้อมในการฉีดวัคซีนเข็ม 3 เพื่อสร้างความมั่นใจกับประชาชนว่าแม้จะมีสายพันธุ์ใหม่เข้ามา แต่วัคซีนที่ประชาชนรับไปน่าจะทำให้เกิดความปลอดภัยไม่ป่วยหนัก และ ไม่เสียชีวิต และจากนี้จะลดระยะเวลาการฉีดเข็ม 3 จากเดิม 4-6 เดือนเปลี่ยนเป็น 3 เดือนสำหรับบางกรณีที่จำเป็น และต้องไม่อยู่ในกลุ่มโรคเสี่ยงก็พร้อมฉีดให้
เมื่อถามว่า ภาพรวมในขณะนี้ส่งผลกับการทำกิจกรรมในช่วงปีใหม่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เราพยายามเปิดให้มากที่สุด เราเฝ้าระวังเรื่องสายพันธุ์โอมิครอนมากสมควรเพื่อให้เกิดความมั่นใจ อีกทั้งยังสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษาให้ชัดเจนว่าความรุนแรงของเชื้อมากระดับใด ถ้าไม่มากกว่าเชื้อสายพันธุ์เดิม เราก็สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ แต่ต้องใช้เวลาตรวจสอบข้อมูล เบื้องต้นทราบว่าไม่น่าจะรุนแรงแต่เราต้องมีข้อสรุปต้องมีหลักวิชาการรองรับ
ส่วนที่มีการแสดงความกังวลว่าสายพันธุ์โอมิครอนจะไปรวมกับสายพันธุ์เดลต้า ขออย่าให้กังวล เพราะถ้ากังวลไปเรื่อยๆก็ไม่จบก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี เราต้องการให้เกิดความสะดวกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างไรก็ตาม เราเน้นย้ำการเฝ้าระวัง พยายามทำเรื่องโควิดฟรีเช็ตติ้งให้ได้ทุกที่ ทั้งผู้ให้บริการและผู้รับบริการ และ ทุกฝ่ายให้ความร่วมมือโอกาสเกิดความเสี่ยงจะน้อยลง
เมื่อถามว่า การเปิดสถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ จะเลื่อนเปิดเร็วขึ้นก่อนวันที่ 16 ม.ค.หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องหารือหลายฝ่าย ฝ่ายสาธารณสุขไม่สามารถควบคุมทุกอย่างได้ ต้องถามฝ่ายที่รักษาความสงบด้วยว่าเป็นอย่างไร
เมื่อถามว่ากิจกรรมเคาท์ดาวน์จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน ที่จะมีมาตรการออกมา เมื่อถามว่า พื้นที่ใดผู้ว่าราชการจังหวัดอนุมัติ สามารถจัดกิจกรรมเคาท์ดาวน์ได้เลยหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า อยู่ที่ผู้ว่าราชการจังหวัด เขาคงต้องสำรวจสภาพของแต่ละจังหวัดว่าเป็นเช่นใด อาจจะมีการออกมาตรการ เช่นการคัดกรองเพื่อทำให้เกิดความปลอดภัย อำนาจการตัดสินใจตรงนี้กระจายไปแล้วในแต่ละพื้นที่
