ว่ากันว่า…วันที่ 14 พ.ย. นี้ ดาวพฤหัสจะย้ายราศีเป็นครั้งสุดท้ายของปี บรรดาผู้รู้ทางด้านโหราศาสตร์ทั้งหลาย ต่างบอกว่า มีหลายราศี ที่ดวงชะตาจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เหมือนได้เริ่มต้นชีวิตใหม่
แต่!! ที่ไม่ว่าใครจะเกิดราศีไหนก็ตาม ดวงชะตาก็ดีขึ้นแน่ ๆ โดยเฉพาะการได้รับการเยียวยา การช่วยเหลือจากรัฐบาล ก็เห็นทีจะหนีไม่พ้น เรื่องที่รัฐบาลเตรียมมอบของขวัญปีใหม่ให้ภายใต้โครงการ “คนละครึ่ง” เฟสที่ 2
ที่แม้เวลานี้ ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะออกมาในรูปแบบใด แต่เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ และกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการเพิ่มเครดิต เพิ่มคะแนนเสียงให้กับรัฐบาลในช่วงขาลง ก็จำเป็นต้องมีมาตรการออกมาดึงดูดกันอย่างต่อเนื่อง
เพราะผลลัพธ์ที่ได้… สามารถสะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า “โดน” คนไทยตาดำ ๆ เพราะมาตรการรอบนี้ ทำให้เงินไหลเข้าสู่ระบบและลงไปถึงรายเล็กรายน้อยอย่างแท้จริง
ข้อสำคัญ…ยังเป็นการหลีกเลี่ยงคำครหา “แจกเงิน” ได้ดีทีเดียว เพราะบรรดาพ่อแม่พี่น้องที่เข้าร่วมโครงการ ก็ต้องควักเงินในกระเป๋าออกมาใช้จ่ายด้วยเช่นกัน
หากจำกันได้ รัฐบาลได้เตรียมวงเงิน 30,000 ล้านบาท จากโครงการเงินกู้เพื่อกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจที่มีวงเงินทั้งสิ้น 4 แสนล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายแบบคร่าว ๆ ไว้ว่าจะช่วยสร้างรายได้ให้กับบรรดาพ่อค้าแม่ค้ารายย่อยอย่างน้อย 1 แสนร้านค้า
นอกจากนี้ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับคนไทย 10 ล้านคน รวมทั้งทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจประมาณ 60,000 ล้านบาท ทำให้จีดีพีของประเทศขยายตัวได้ 0.18%
แต่ ณ เวลานี้ ปรากฏว่ามีบรรดาร้านค้ารายเล็กรายน้อยเข้าร่วมโครงการไปแล้วกว่า 5.9 แสนร้านค้า…กันทีเดียว ขณะที่ยอดใช้จ่ายสะสมก็เหยียบ 12,000 ล้านบาท เข้าไปแล้ว
ในเมื่อมาตรการนี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ในฐานะผู้วางนโยบาย ย่อมเห็นผลสัมฤทธิ์ของนโยบายที่นำออกมาใช้ เพราะในเวลานี้รายได้หลักของประเทศกำลังดิ่งลงเหว จึงต้องหันมาใช้เศรษฐกิจในประเทศเป็นตัวผลักดันแทน
ไม่เพียงเท่านี้วงเงินที่จัดเตรียมไว้จากพ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ก็ยังคงมีอยู่ที่จะเจียดออกมาทำแต้มได้ ดังนั้นจึงถือเป็นโอกาสที่ดี ที่ต้องหยิบฉวยออกมาเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
หรืออย่างน้อย ก็เป็นการ “กู้วิกฤติ” สถานะของรัฐบาลที่กำลังย่ำแย่ในเวลานี้ด้วยเช่นกัน เพราะปัญหา “ปากท้อง” ถือเป็นข้อเรียกร้องที่ประชาชนคนไทยทั้งประเทศต้องการให้รัฐบาลเข้ามาดูแลอย่างจริงจัง
ระหว่างที่ยังไม่ชัดเจน ยังไม่สรุปว่า “เฟสสอง” ของโครงการคนละครึ่งจะออกมาในรูปแบบใด คนที่ลงทะเบียนไปแล้วทั้ง 10 ล้านคน ก็ต้องรักษาสิทธิของตัวเองไปจนถึงวันที่ 31 ธ.ค.นี้ เพราะไม่เพียงที่จะทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจแล้ว “คนละครึ่ง” ยังช่วยสร้างบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยในช่วงโค้งสุดท้ายได้ด้วยเช่นกัน
อย่าลืมว่า!! รัฐบาลเคยใช้มาตรการชิมช้อปใช้ ที่ได้ผลมาแล้ว เพราะทำให้เกิดการใช้จ่ายมากถึง 28,819 ล้านบาท แล้วยังทำให้พ่อค้าแม่ค้าที่เข้าร่วมโครงการสามารถขายของได้กว่าร้านปกติถึง 7.8 เท่า ขณะที่มีผลต่อจีดีพีประมาณ 0.1-0.3%
ขณะเดียวกันการใช้จ่ายเงินในโครงการ ชิมช้อปใช้ ส่วนใหญ่เป็นการซื้อของในร้านโอทอป ร้านธงฟ้าประชารัฐ ซึ่งรัฐบาลสามารถยืนยันหรือเคลมได้ว่ามาตรการที่ออกมาช่วยเหลือได้ตรงจุด ไม่ใช่เป็นการช่วยเหลือรายใหญ่แต่เพียงอย่างเดียว นั่นหมายความว่ารัฐบาลก็เดินมาถูกทางด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ยังมีเสียงเรียกร้องจากใครต่อใครอีกหลายคนว่า วงเงินที่ให้ 3,000 บาท ใน “คนละครึ่ง” เหมาะสมแล้วหรือยัง ขณะที่การจำกัดวงเงินการใช้ที่วันละ 150 บาท อาจน้อยเกินไป
ด้วยเหตุนี้ จึงมีเสียงเปรย ๆ กันออกมาว่า อาจให้มากกว่าหรือไม่ หรืออาจเพิ่มวงเงินรวมให้อีกหรือไม่ แต่ทั้งหลายทั้งปวง คงต้องรอดูในรายละเอียดให้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการประชุมคณะกรรมการ ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ หรือศบศ.ในวันที่ 18 พ.ย.นี้
อย่าลืมว่า เรื่องนี้ ตัวขุนคลังได้ประกาศผลักดันไว้ชัดเจน ขณะที่รองนายกฯ “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” เองก็ให้การสนับสนุนเต็มที่ เพราะจะตีเหล็กก็ต้องตีตอนร้อนๆ ถึงจะต่อเนื่อง ถึงจะได้ประโยชน์ หากรอให้เหล็กเย็น คนทั้งประเทศอาจมองไม่เห็นก็เป็นไปได้ โดยเฉพาะในช่วงที่ความนิยมในรัฐบาลกำลังถดถอย!!
คอลัมน์ : Ec Focus by Virgo