ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 32.76 บาทต่อดอลลาร์อ่อนค่า ตลาดมองเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าคาด หลังตัวเลขเงินเฟ้อพุ่ง 7.5% สูงสุดรอบ 40 ปี ทุบตลาดสหรัฐฯ-ยุโรปปรับตัวลงกันระนาว
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ที่ระดับ 32.76 บาทต่อดอลลาร์อ่อนค่าลงจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 32.63 บาทต่อดอลลาร์ เป็นผลมาจากเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าคาด หลังข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐฯ เร่งขึ้นสูงกว่าคาด ก็กลับมากดดันให้ตลาดปิดรับความเสี่ยงและหนุนให้เงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้น
ซึ่งเรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์และภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดนั้น จะช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาทในระยะสั้นได้ อย่างไรก็ดี ควรจับตาแนวโน้มฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติว่ายังคงเข้ามาซื้อสินทรัพย์ไทยสุทธิต่อเนื่องหรือไม่ เพราะหากนักลงทุนต่างชาติยังเดินหน้าซื้อสินทรัพย์ไทย ก็จะเป็นแรงหนุนให้เงินบาทไม่อ่อนค่าไปมาก แม้ตลาดจะพลิกกลับมาปิดรับความเสี่ยงและกังวลการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟดก็ตาม
ทั้งนี้ เราคาดว่า ฝั่งผู้นำเข้าต่างจะมารอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์ในช่วง 32.60 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนฝั่งผู้ส่งออกอาจรอทยอยขายเงินดอลลาร์ในช่วง 32.80 จนถึง 33.00 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.65-32.85 บาทต่อดอลลาร์
สำหรับตลาดการเงินผันผวนรุนแรงและกลับมาปิดรับความเสี่ยง หลังเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในเดือนมกราคม พุ่งขึ้นแตะระดับ 7.5% สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้และสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1982 หนุนให้ผู้เล่นในตลาดกังวลว่า การเร่งตัวขึ้นของเงินเฟ้อสหรัฐฯ อาจหนุนให้เฟดขึ้นดอกเบี้ยได้มากกว่าคาด
นอกจากนี้ตลาดการเงินยังถูกกดดันจากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด James Bullard (ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการนโยบายการเงิน FOMC Voter) ที่ได้ออกมาสนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ยอย่างน้อย 1.0% ภายในเดือนกรกฎาคมและยังสนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ยระหว่างการประชุมของเฟดเพื่อจัดการปัญหาเงินเฟ้อที่เร่งตัวในระดับสูง
โดยมุมมองดังกล่าวของ James Bullard ได้ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดมองว่า เฟดมีโอกาสที่จะขึ้นดอกเบี้ย 0.5% สูงขึ้นถึง 95% จากวันก่อนหน้าที่ตลาดมองโอกาสดังกล่าวเพียง 24% (จาก CME FedWatch Tool)
ภาวะการปิดรับความเสี่ยงของตลาด ได้กดดันให้ผู้เล่นในฝั่งสหรัฐฯ กลับมาเทขายหุ้นเทคฯและหุ้นสไตล์ Growth ที่อ่อนไหวกับแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ทำให้ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลงกว่า -2.10% ส่วนดัชนีS&P500 ก็ปรับตัวลง -1.81% ทั้งนี้ หุ้นในกลุ่ม Cyclical ยังไม่ได้ปรับตัวลงไปมากนัก โดยเฉพาะหุ้นที่รายงานผลประกอบการที่ดีกว่าคาด
ส่วนในฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป ย่อตัวลง -0.17% (ตลาดหุ้นยุโรปปิดก่อนช่วงตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผันผวนหนัก) เนื่องจากตลาดจะรอรับรู้แนวโน้มเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าในวันนี้ ตลาดหุ้นยุโรปมีแนวโน้มปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ เช่นกัน โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเทคฯ ที่อาจเผชิญแรงขายหนักอีกครั้ง
ทั้งนี้คงต้องติดตามการเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งระ หว่างรัสเซียกับยูเครน/นาโต้ โดยมองว่า หากมีการถอนกำลังทหารจากทุกฝ่ายออกจากพื้นที่ ก็จะเป็นสัญญาณที่ดีและอาจช่วยหนุนให้ตลาดกลับมาเปิดรับความเสี่ยงได้มากขึ้น
ส่วนทางด้านฝั่งตลาดบอนด์ แนวโน้มเฟดเร่งขึ้นดอก เบี้ยมากกว่าคาดได้หนุนให้ บอนด์ยีลด์ในฝั่งสหรัฐฯ ล้วนปรับตัวสูงขึ้น โดยบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พุ่งขึ้นกว่า 10bps สู่ระดับ 2.04% สอดคล้องกับมุมมองของตลาดที่มองว่า เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยได้มากถึง 6-7 ครั้งในปีนี้ และตลาดยังมองว่าเฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยได้ 0.5% ในการประชุมเดือนมีนาคม
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ผันผวนหนักในช่วงก่อนและหลังรับรู้รายงานเงินเฟ้อ CPI โดยสุดท้ายเงินดอล ลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หนุนโดยโอกาสเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าคาดและภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาด ทำให้ล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 95.79 จุด
นอกจากนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์และการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังได้กดดันให้ ราคาทองคำปรับตัวลดลงสู่ระดับ 1,826 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเรามองว่า การที่ราคาทองคำยังไม่สามารถผ่านแนวต้านสำคัญและเผชิญแรงกดดันจากการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ก็อาจหนุนให้ผู้เล่นทยอยเข้ามาขายทำกำไรทองคำมากขึ้นได้
สำหรับวันนี้ตลาดจะรอติดตามรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกนในสหรัฐฯ โดยตลาดมองว่า แนวโน้มสถานการณ์การระบาดของโอมิครอนที่อาจผ่านจุดเลวร้ายสุดไปแล้วอาจช่วยให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (Uof Michigan Consumer Sentiment) เดือนกุมภาพันธ์เพิ่มขึ้นเล็กน้อยแตะระดับ 67.5 จุด
ทั้งนี้ตลาดจะให้ความสนใจข้อมูลความคาดหวังเงินเฟ้อ (Inflation Expectation) ของผู้บริโภคทั้งในระยะ 1 ปี ข้างหน้าและระยะ 5 ปี ข้างหน้า ว่ามีการเร่งตัวขึ้นสูงไปจากเดิมมากขนาดไหน เพราะตลาดเริ่มมองว่า เฟดจะให้ความสนใจแนวโน้มความคาดหวังเงินเฟ้อเช่นกันและเชื่อว่าการส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยของเฟดก็เพื่อช่วยควบคุมให้ความคาดหวังเงินเฟ้อของผู้บริโภคไม่ได้เร่งตัวสูงจนน่ากังวล