“คณะทำงานเศรษฐกินเพื่อไทย”ห่วง “ประยุทธ์” ไม่เข้าใจสร้างงานสำคัญกว่าแจกเงิน ชี้แจกเงินแก้เศรษฐกิจไม่ได้ อาจพาชาติล่มจมเพราะหนี้พุ่ง
เมื่อวันที่ 11 ก.พ.65 นายพชร นริพทะพันธุ์ กรรมการบริหารและคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า หนี้สาธารณะของประเทศไทยอยู่ที่ 9.62 ล้านล้านบาท คิดเป็น 59.58% ของจีดีพี อีกไม่นานคงทะลุ 10 ล้านล้านบาท และ เกิน 60% ของจีดีพีแน่นอน ในขณะที่หนี้ครัวเรือนพุ่งสูงกว่า 14.35 ล้านล้านบาท และยังมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นเรื่อยๆ
แต่ พลเอกประยุทธ์ กลับไม่มีแนวทางที่จะลดหนึ้สาธารณะและหนี้ครัวเรือนนี้ และยังกลับคิดว่าการแจกเงินเป็นทางแก้ไขของปัญหา ซึ่งจะยิ่งทำให้ปัญหามากขึ้นเพราะเป็นการกู้มาแจกทำให้หนึ้สาธารณะเพิ่มมากขึ้น แต่แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ พิสูจน์ได้จาก พลเอกประยุทธ์แจกเงินมาหลายปีแล้ว แต่คนกลับจนลง หนี้ครัวเรือนกลับเพิ่มขึ้น ซึ่งคณะทำงานเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยได้พยายามชี้แนวทางว่าต้องสร้างงาน เพราะไม่เช่นนั้นเศรษฐกิจไทยจะจนทั้งแผ่นดินซ้ำเติมภาวะแพงทั้งแผ่นดิน
ทั้งนี้ แทนที่พลเอกประยุทธ์จะเข้าใจ กลับส่งคนออกมาตอบโต้ท้าให้ยกเลิกบัตรคนจน เที่ยวด้วยกัน ชิมช้อปใช้ ยิ่งใช้ยิ่งได้ ซึ่งน่าจะเข้าใจสถานการณ์ผิดพลาดหมด ความเป็นจริงคือคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยเห็นว่าการช่วยเหลือประชาชนที่กำลังลำบากจากความล้มเหลวในการบริหารประเทศของพลเอกประยุทธ์เป็นเรื่องที่จำเป็นและต้องทำ แต่การสร้างงานสำคัญกว่าการแจกเงินมาก
แจกเงินใช้ไม่นานก็หมดไป แต่การสร้างงานจะทำให้เป็นรายได้ที่ถาวร ซึ่งเชื่อว่าถ้าเลือกได้ประชาชนคงอยากได้เงินเดือนประจำในระดับที่จะเลี้ยงครอบครัวได้สบาย มากกว่าจะมารับแจกเงินเพียงไม่กี่พันบาทตามนโยบายปัจจุบัน ดังนั้นนโยบายของคณะทำงานเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยจะมุ่งสร้างงานเป็นหลัก มากกว่าจะกู้เงินมาแจกเหมือนปัจจุบัน อีกทั้งในประเทศที่เจริญแล้วดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจที่สำคัญคือดัชนีวัดการจ้างงาน โดยเฉพาะปัจจุบันที่ประเทศไทยมีประชาชนตกงานกันมากถึงหลายล้านคน
ทั้งนี้ หากมองย้อนหลังจะพบว่ามีวาทกรรมในอดีตกล่าวหานโยบายช่วยเหลือประชาชนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน โอท็อป SMEs SML ฯลฯ ว่าเป็น “ประชานิยม” และจะพาชาติล่มจม ทั้งที่โครงการเหล่านี้ที่เริ่มต้นตั้งแต่สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย สร้างรายได้และยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างมาก ประชาชนมีรายได้เพิ่ม มีสุขภาพแข็งแรง มีความสุข และที่สำคัญคือตลอดเวลาหลายปีที่ดำเนินนโยบาย หนี้สาธารณะของประเทศไทยอยู่ในระดับต่ำเพียงประมาณ 40% ของจีดีพีเท่านั้น ประเทศไม่ได้ล่มจมตามวาทกรรมใส่ร้ายแต่อย่างใด
ในขณะที่ปัจจุบัน พลเอกประยุทธ์แจกเงินสะเปะสะปะ ประเทศไม่ได้พัฒนา คนจนลงกันหมด ซึ่งยิ่งแจก คนยิ่งจน หนี้ยิ่งเพิ่ม โดยหนี้สาธารณะของประเทศพุ่งไม่หยุด ต้องขยายเพดานหนี้จาก 60% เป็น 70% แล้ว และยังมีแนวโน้มจะต้องขยายเพดานกันอีกถ้ายังบริหารแบบนี้ และยังจะกู้เงินมาแจกแบบนี้ ซึ่งน่าจะแจกเงินแล้วอาจจะทำให้ชาติล่มจมจริงๆ มากกว่าในอดีตมาก เพราะหนี้สาธารณะพุ่งขึ้นจริง หนี้ครัวเรือนพุ่งขึ้นสูงจริง และพลเอกประยุทธ์ยังไม่รู้ว่าจะลดหนี้ได้อย่างไรเลย แบบนี้ไม่พาชาติล่มจมแล้วแบบไหนจะเรียกพาชาติล่มจม ซึ่งตัวเลขไม่โกหกและสามารถพิสูจน์ได้ ไม่จำเป็นต้องใช้วาทกรรมใส่ร้าย คนรุ่นใหม่แล้วไม่มีใครหลอกใครได้ ดังนั้นจึงพิสูจน์แล้วว่าในอดีตที่บอกว่าประชานิยมพาชาติล่มจมจึงไม่จริงแต่ปัจจุบันที่กู้เงินมาแจกแบบสะเปะสะปะที่เป็นอยู่ ชาติอาจจะล่มจมได้จริงๆ ซึ่งอยากให้ผู้ที่เคยใช้วาทกรรมแบบเดิมได้พิจารณาให้ชัดเจนว่าแบบไหนที่ชาติจะล่มจมจริง และหันมาสนใจชาติที่กำลังจะล่มจมกันจริงๆ ในปัจจุบัน จากการบริหารที่ล้มเหลวแต่คิดได้แค่จะแจกเงินเพื่อรักษาความนิยมเท่านั้น
ในภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่และยังไม่มีทิศทางที่จะฟื้นได้อย่างไร ประเทศต้องการผู้นำที่ต้องสร้างความมั่นใจให้ประชาชนได้ และต้องมีทิศทางของประเทศชัดเจนว่าจะดีขึ้นได้อย่างไร การประคองตัวอยู่ไปวันๆ แต่ไม่มีอะไรดีขึ้นก็มีแต่จะเสื่อมลงเท่านั้น ขนาดประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยยังต้องเรียกร้องให้ยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ เพราะปัจจุบันยังไม่เห็นทิศทางว่าจะมีอะไรดีขึ้น ยิ่งถ่วงเวลาปัญหาของประเทศจะยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และจะแก้ไขยากขึ้น หรืออาจจะแก้ไม่ได้เลยถ้ายังจะทำความเสียหายไปเรื่อยๆ อย่างไม่หยุด และอยากให้มั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยจะสามารถแก้ไขปัญหาและนำพาประเทศพ้นวิกฤตได้หากได้รับความไว้วางใจจากประชาชน หรือ “เลือกพรรคเพื่อไทยพาชาติพ้นภัย”