“หมอยง” แจ้งข่าวดีเรื่อง “โควิด 19” ชี้แสงสว่างปลายทางเริ่มมองเห็นในการต่อสู้กับโรคนี้ หลังมีบริษัทวัคซีนเริ่มพบ “ประสิทธิภาพ” ในการป้องกันโรค แค่รอเวลา “วัคซีน” ที่จะเข้าไทย จึงต้องช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการระบาด เชื่อปีหน้าจะต้องดีกว่าปีนี้ ทั้งด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ
เมื่อวันที่ 24 พ.ย. ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Yong Poovorawan ถึงความคืบหน้าในเรื่อง “โควิด 19” โดยมีเนื้อหาว่า…แสงสว่างปลายทางเริ่มมองเห็นชัดเจนขึ้น หลังจากที่บริษัทวัคซีนต่างๆ ได้แสดงให้เห็นประสิทธิภาพในการป้องกันโรค ได้มากกว่าที่เคยตั้งไว้ ขณะนี้มีวัคซีนถึง 13 บริษัท ที่ทำการศึกษาอยู่ในระยะที่ 3 มีการประกาศผลออกมาแล้วถึง 3 บริษัท มีประสิทธิภาพในการป้องกันดีทีเดียว
นอกจากนี้ ในการป้องกันและรักษา ยังมี การใช้ภูมิต้านทาน ที่สร้างขึ้นมา monoclonal antibody มาใช้ในการป้องกันและรักษาระยะแรก ในกลุ่มเสี่ยงเพื่อไม่ให้โรครุนแรง มีประสิทธิภาพลดปริมาณไวรัสได้ แอนติบอดี้ที่สร้างขึ้นมา จะจำเพาะกับตัวไวรัส เช่นเดียวกับพลาสมาที่ได้รับจากผู้ที่หายจากโรคและมีภูมิต้านทานสูง ก็จะมีแอนติบอดี้ แต่ต้องให้ระยะแรกที่ผู้ป่วยยังไม่ได้สร้างภูมิต้านทานด้วยตัวเอง และมีอาการรุนแรง
การนำเอาพลาสม่า มาทำเป็นเซรุ่ม ก็เช่นเดียวกัน ในเซรุ่มก็จะมีภูมิต้านทานต่อไวรัสโควิด 19 สามารถใช้ ได้เช่นเดียวกับการใช้ป้องกันไวรัสตับอักเสบบี เช่นเมื่อถูกเข็มเจาะเลือดผู้ป่วยตำมือ หรือสัมผัสโรค การให้เซรุ่มจำเพาะรักษาโรคพิษสุนัขบ้า เป็นต้น ข้อดีของเซรุ่ม ที่สกัดจากพลาสมาผู้ที่หายป่วยและมีภูมิต้านทานสูง เซรุ่มสามารถฉีดเข้ากล้ามเนื้อได้ ไม่ต้องให้ทางหลอดเลือดแบบการให้พลาสม่า สามารถเก็บไว้ได้นานกว่าการเก็บ Plasma และถูกบรรจุเป็นขวดขวดเล็กๆไม่เหมือนกับ Plasma ที่ต้องเก็บเป็นถุง
ขณะนี้ทางศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ที่ได้รับบริจาคพลาสม่าจากผู้ที่หายป่วยและมีภูมิต้านทานสูง ได้นำเอาพลาสม่าจำนวนหนึ่ง มาทำเป็นเซรุ่มเรียบร้อยแล้ว ข้อมูลต่างๆในปัจจุบัน ในการต่อสู้กับโรคโควิด 19 ได้เริ่มเห็นชัดมากขึ้น อย่างไรก็ตามวัคซีนที่จะเข้ามาถึงประเทศไทย อย่างเร็วก็คงต้องใช้เวลา อีกหลายเดือนนับจากนี้ เราจะต้องช่วยกัน ป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดในประเทศไทย รอเวลาที่จะมีวัคซีนและยารักษาที่มีประสิทธิภาพ ปีหน้าจะต้องดีกว่าปีนี้แน่นอน ทั้งทางด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ