แม้หัวหน้ารัฐบาลจะชิงออกตัว ขอเล่นบทดูแลการประชุมระดับโลกตั้งแต่ไก่โห่ แต่ลองถามบรรดาคนตามการเมืองไทย ต่างก็ยังไม่มั่นใจ ในที่สุดแล้ว “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ในฐานะผู้นำรัฐบาล จะนำพารัฐนาวาฝ่าฝันมาสุมไปได้เกินเดือนพฤษภาคม 65 หรือไม่
เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 65 เว็บไซต์รัฐบาลไทย หรือ www.thaigov.go.th ได้เผยแพร่ถ้อยแถลง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เรื่องการเป็นเจ้าภาพเอเปก ค.ศ. 2023-2024 ว่า ปีนี้ ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก)
โดยสัปดาห์นี้ผู้แทนของเขตเศรษฐกิจเอเปก จะเริ่มต้นการหารือรอบแรกของปี เพื่อวางแผนงานสําหรับปีนี้ และผลักดันการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ อาโอทีอาโรอา ซึ่งได้รับความเห็นชอบเมื่อปีที่แล้ว เพื่อการบรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ปุตราจายา ค.ศ.2040 โดยวิสัยทัศน์นี้จะกําหนดแนวทางการดำเนินงานของเอเปคกนอีก 20 ปีข้างหน้า
ในทางการเมืองทีมงานรัฐบาล คงต้องการสร้างความมั่นใจ ชี้ให้เห็นว่าฝ่ายบริหารยังมีภารกิจที่สำคัญ ซึ่งถือเป็นหน้าเป็นตาประเทศ แม้ “พล.อ.ประยุทธ์” กำลังเผชิญแรงกดดันอย่างหนักหน่วง ทั้งจากพรรคฝ่ายค้านและพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง จนหลายคนคาดว่า ภายในเดือนพฤษภาคมนี้ หลังฝ่ายค้าน ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ หัวหน้ารัฐบาลคงต้องมีอันเป็นไป หรือ อาจตัดสินใจยุบสภาฯ ก่อนที่พรรคฝ่ายค้านจะยื่นซักฟอกหัวหน้ารัฐบาลด้วยซ้ำ
ขณะที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ออกมายืนยันครั้งแล้วครั้งเล่า ระบุว่า พรรคพปชร.ไม่มีปัญหาใดๆ ในเรื่องการดูแลเสียงส.ส. รวมถึง “พรรคเศรษฐกิจไทย” (ศกท.) ซึ่งเกิดจาก “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” นำส.ส.จำนวน 21 คน แยกออกไปตั้งพรรคใหม่ ทำกิจกรรมตามที่ตนเองต้องการ แต่หลายคนก็ไม่แน่ใจ การออกเสียงจะเป็นในทิศทางเดียวกับรัฐบาลหรือไม่
เพราะหลังมีข่าว “ผู้กองคนดัง” มีส่วนเดิมเกมกดดันพล.อ.ประยุทธ์ให้พ้นจากตำแหน่งนายกฯ ในระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งหลังสุด ความสัมพันธ์ผู้นำรัฐบาล กับอดีตเลขาธิการพรรคพปชร. ก็เหมือนเส้นขนาน ยากที่จะบรรจบกลับมาเหมือนเดิมได้อีก
แต่ถือว่ารัฐบาลยังโชคดี เมื่อส.ส. ในกลุ่มร.อ.ธรรมนัส 3 คน ประกอบด้วย เอกราช ช่างเหลา ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ วัฒนา ช่างเหลา ส.ส.ขอนแก่น สมศักดิ์ พันธ์เกษม ส.ส.เขต 11 จังหวัดนครราชสีมา แยกตัวออกจากกลุ่มผู้กอง ไปสังกัด พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ซึ่งเป็นหนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาล และที่ผ่านมา ไม่เคยยกมือสวนญัตติที่สำคัญของรัฐบาล และทำให้พรรคร่วมรัฐบาลที่มี “อนุทิน ชาญวีรกูล” เป็นผู้นำ มีจำนวนส.ส.เพิ่มเป็น 62 เสียง
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มี ส.ส.ในสภาที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ 475 คน ฝ่ายรัฐบาลมีเสียง รวม 275 คน ฝ่ายค้าน 200 เสียง ซึ่งในการประชุมเพื่อพิจารณากฎหมายสำคัญ จะใช้เสียง เกินกึ่งหนึ่ง ขององค์ประชุมสภา 238 เสียง
หลังจากพรรคพปชร. มีมติขับ “ร.อ.ธรรมนัส” พร้อมด้วย ส.ส.รวม 21 คน พ้นพรรค จะทำให้เสียงของรัฐบาลเหลือ 254 เสียง เท่ากับว่าฝ่ายรัฐบาลมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งเพียง 16 เสียงเท่านั้น ซึ่งถูกมองว่า มีความเสี่ยงสูงในกรณีโหวตรับกฎหมายสำคัญ และถ้าส.ส.กลุ่มร.อ.ธรรมนัส ซึ่งวันนี้เหลือ 18 เสียง ไม่เข้าประชุมสภาฯ หรืองดออกเสียง ก็อาจทำให้รัฐบาลมีปัญหาได้
แต่เมื่อ 3 เสียงยังอยู่ร่วมกับรัฐบาล และมีข่าว 5 ส.ส. ในกลุ่มผู้กองคนดัง จะขอกลับมาทำงานรวมกับแกนนำรัฐบาล นั่นหมายความว่า รัฐบาลยังโชคดี อาจเดินต่อไปถึงเป้าหมายตามที่ผู้นำรัฐบาลต้องการ ได้ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมเอเปก จนการประชุมเสร็จสิ้นลง ซึ่งอยู่ในช่วงปลายปี
อย่างไรก็ตาม แม้ “พล.อ.ประยุทธ์” จะสามารถคลี่คลายความขัดแย้งในรัฐบาลได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังมีปมร้าวลึกใน “พี่น้อง 3 ป.” ซึ่งประกอบด้วย “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะพี่ใหญ่ “บิ๊กป็อก” พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา น้องรอง และ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา น้องเล็ก ซึ่งหลังจาก “บิ๊กป้อม” ให้ความไว้วางใจ “ร.อ.ธรรมนัส” ส่งผลให้น้องเล็กและน้องรอง ร่วมกับจับมือแก้เกม ไม่ให้อดีตเลขาธิการพปชร. เข้ามามีบทบาทในรัฐบาลมากเกินไป
เคยมีข่าวช่วงต้นต้นเดือนก.พ.ที่ผ่านมา แกนนำพรรคเศรษฐกิจไทย นำโดย “ร.อ.ธรรมนัส” ได้นัดหมาย กลุ่ม ส.ส. ที่ถูกขับพ้นออกจากพรรคพปชร. ไปหารือกันที่จ.ภูเก็ต เพื่อเตรียมการขับเคลื่อนงานการเมืองของพรรคหลังจากนี้
โดยข้อสรุปสำคัญในการหารือ คือข้อเสนอต่อรองเก้าอี้ “รมว.มหาดไทย” (มท.1) เพื่อแลกกับการสนับสนุนรัฐบาล โดยเห็นตรงกันว่า บุคคลที่เหมาะสมกับตำแหน่ง มท.1 คือ “พล.อ.ประวิตร” ในฐานะหัวหน้าพรรคพปชร. เนื่องจากมีศักยภาพ สามารถตอบสนอง ส.ส.ในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี และเป็นการขยายฐานทางการเมือง รองรับการเลือกตั้งครั้งหน้าอีกด้วย
แม้ในเวลาต่อมา “ผู้กองคนดัง” จะออกมาปฏิเสธว่า พรรค ศกท. ไม่มีการต่อรองใดใดทั้งสิ้น พรรคตั้งขึ้นมา เพื่อทำประโยชน์ให้ประเทศชาติและประชาชน แต่ก็มีรายงานข่าวเล็ดลอด ออกมาจากคนใกล้ชิด “บิ๊กป้อม” ระบุว่า ที่ผ่านมาหัวหน้าพรรค พปชร.รู้สึกน้อยใจหัวหน้ารัฐบาล กับการจัดความสำคัญพรรคร่วมรัฐบาล ในขณะที่พรรคภท. “อนุทิน ชาญวีรกูล” ได้รับมอบหมายให้รับตำแหน่งรองนายกฯ ควบ รมว.สาธารณสุข ส่วน “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฐ์” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ยึดตำแหน่งรองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์
ส่วน “พล.อ.ประวิตร” มีสถานะเป็นถึง “ผู้จัดการรัฐบาล” ดูแลพรรคแกนนำรัฐบาล เป็นฐานเสียงสำคัญที่สนับสนุน “พล.อ.ประยุทธ์” ดำรงตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาลมาเกือบ 8 ปี แต่กลับไม่ได้รับการสนับสนุนจากน้องเล็กแห่ง 3 ป. เป็นเพียงรองนายกฯลอยๆ ไม่ได้รับมอบหมายให้ดูแลงานสำคัญ แถมคนใกล้ชิดหัวหน้ารัฐบาล ยังออกมาวิจารณ์ “บิ๊กป้อม” ทำนองว่า มักสร้างปัญหาให้รัฐบาล ทำให้หลายครั้ง “พี่ใหญ่” ต้องให้บทเรียน “น้องเล็ก” เพื่อส่งสัญญาณให้คนใกล้ชิดหัวหน้ารัฐบาลรู้ว่า ที่มีอำนาจอยู่ได้ ก็สืบเนื่องมาจากเสียงสนับสนุนจากพรรคร่วมรัฐบาล
สำคัญมากกว่านั้น แกนนำพรรคพปชร. เชื่อว่าหาก “พล.อ.ประวิตร” ได้นั่งเก้าอี้ “มท.1” จะมีส่วนสำคัญในการช่วยขยายฐานการเมืองให้พรรค และเครือข่าย เนื่องจากที่ผ่านมา “พล.อ.อนุพงษ์” ไม่เคยดูแลส.ส.ในพรรค แถมยังเข้าถึงยาก ไม่ช่วยทำให้พรรคได้เปรียบทางการเมือง ซึ่งต่อมา “พี่ใหญ่” แห่ง 3 ป. จะออกมาปฏิเสธ ไม่เคยคิดแย่งตำแหน่ง “น้องรอง” แต่ในใจลึกๆ “บิ๊กป้อม” อาจอยากมีจารึกในฐานะ “รมว.มหาดไทย” ซักครั้ง เพราะมีอำนาจรองจากหัวหน้ารัฐบาลเพียงเท่านั้น
จากนี้ไปก็ขึ้นอยู่กับหัวหน้ารัฐบาลจะตัดสินใจอย่างไร จะหยุดแรงกระเพื่อมที่เกิดจาก “พปชร.” โดยมี “ศกท.” ช่วยเป็นแรงหนุน หรือปล่อยให้เป็นแผลเรื้อรังไปเรื่อยๆ บางทีการปรับครม. โดยยกเก้าอี้ “มท.1” ให้ “พี่ใหญ่” แห่ง “3 ป.” ช่วยทำให้ฝันของ “พล.อ.ประยุทธ์” ในการได้เป็นประธานการประชุมเอเปก อาจเข้าใกล้ความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ
……………….
คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก
โดย….“แมวสีขาว”
