วันเสาร์, พฤศจิกายน 23, 2024
spot_img
หน้าแรกHighlightดอลลาร์แข็ง-บอนด์ยีลด์สหรัฐฯพุ่ง กดค่าเงินบาทอ่อน
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ดอลลาร์แข็ง-บอนด์ยีลด์สหรัฐฯพุ่ง กดค่าเงินบาทอ่อน

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.44 บาทต่อดอลลาร์อ่อนค่า หลังดอลลาร์แข็ง-บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ 10 ปีพุ่ง ตลาดคาดเฟดขึ้นดอกเบี้ยสกัดเงินเฟ้อ ลุ้นผลเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซีย-ยูเครน

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.44 บาทต่อดอลลาร์อ่อนค่าลงจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 33.38 บาทต่อดอลลาร์ ผู้เล่นในตลาดโดยรวมยังคงอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวและยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก หลังจากที่การเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซีย-ยูเครนล่าสุดยังไม่ได้ข้อสรุป ทว่าผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังว่า การเจรจาสันติภาพจะยังคงดำเนินต่อไปและอาจช่วยยุติสงครามได้ในที่สุด

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะเริ่มกลับมาให้ความสนใจแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟดมากขึ้นและผู้เล่นบางส่วนยังคงกังวลโอกาสที่เฟดอาจใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อควบคุมปัญหาเงินเฟ้อ ดังจะเห็นได้จากแรงเทขายหุ้นเทคฯ ที่กลับมาอีกครั้ง หลังจากที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 2.13% กดดันให้ดัชนีหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ Nasdaq ปรับตัวลงกว่า -2.04% 

ส่วนดัชนี S&P500 ย่อตัวลงราว -0.74% จากแรงขายหุ้นเทคฯ และหุ้นกลุ่มพลังงานที่ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบที่ย่อลงต่อเนื่อง (ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ล่าสุดอยู่ที่ 105.2 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล) ขณะเดียวกัน ดัชนี S&P500 ก็ได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มการเงินที่พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นตามบอนด์ยีลด์  

ส่วนในฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป ปรับตัวขึ้นราว +1.47% หลังผู้เล่นบางส่วนยังคงมีความหวังต่อการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียกับยูเครน ส่งผลให้หุ้นในกลุ่ม Cyclical ที่ปรับตัวลงหนักก่อนหน้า อาทิ หุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มยานยนต์ ทยอยปรับตัวขึ้น อาทิ Volkswagen +4.4%, ING +4.4% ทั้งนี้ เราคงแนะนำให้ wait and see รอสัญญาณเชิงเทคนิคัลยืนยันการกลับตัวที่ชัดเจนก่อน เนื่องจากสถานการณ์สงครามและการเจรจาก็ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง

ส่วนทางด้านฝั่งตลาดบอนด์ แนวโน้มเฟดอาจใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ ได้กดดันให้บอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 2.13% ซึ่งเรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจแกว่งตัว sideways ใกล้ระดับ 2.00% ไปก่อน จนกว่าจะรับรู้แนวโน้มนโยบายการเงินของเฟดที่ชัดเจนจากการประชุมเฟดในวันพฤหัสฯ นี้ ซึ่งเราคาดว่า หากตลาดกล้ากลับมาเปิดรับความเสี่ยงได้ บอนด์ยีลด์ระยะยาวก็จะสามารถทยอยปรับตัวสูงขึ้นได้ต่อเนื่อง จากแนวโน้มการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นของเฟด โดยเฉพาะการปรับลดงบดุล 

ด้านตลาดค่าเงิน ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยเพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะสงคราม รวมถึงการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จากแนวโน้มเฟดใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ยังคงหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ทำให้ล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ยังแกว่งตัวใกล้ระดับ 99.08 จุด ทั้งนี้ การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ 

รวมถึงความหวังต่อการเจรจาสันติภาพ ได้กดดันให้ผู้เล่นในตลาดทยอยขายทำกำไรทองคำ กดดันให้ ราคาทองคำย่อตัวลงใกล้ระดับ 1,950 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ ผู้เล่นบางส่วนอาจรอจังหวะการย่อตัวลงของราคาทองคำ เพื่อรอจังหวะ buy on dip ได้ เพราะสถานการณ์สงครามยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง โดยคาดว่าโซนที่ผู้เล่นอาจรอจะอยู่ในช่วง 1,930-1,950 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพื่อรอลุ้นจังหวะรีบาวด์กลับสู่ระดับ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับวันนี้ ตลาดจะรอติดตามการเจรจาระหว่างรัสเซีย-ยูเครน อย่างใกล้ชิด หลังการเจรจาล่าสุดยังไม่สามารถนำไปสู่ข้อตกลงร่วมเพื่อหยุดยิงได้ อย่างไรก็ดี ทั้งสองฝ่ายยังพร้อมที่จะกลับมาเดินหน้าการเจรจาเพื่อยุติสงคราม แต่ด้วยแนวโน้มสถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง ทำให้ตลาดการเงินยังมีโอกาสผันผวนสูงต่อไปได้ในระยะสั้นนี้ 

ในส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจนั้น เรามองว่า ผลกระทบจากสงครามจะกดดันความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ (ZEW Economic Sentiment) ของเยอรมนีและของยุโรปในเดือนมีนาคม ให้ปรับตัวลดลงอย่างหนักและมีโอกาสที่ดัชนีความเชื่อมั่นจะต่ำกว่า 0 จุด (ดัชนีต่ำกว่า 0 หมายถึง มุมมองเชิงลบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ) ซึ่งความเชื่อมั่นที่ลดลงอาจกดดันแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรป ตลาดหุ้นยุโรป รวมถึงค่าเงินยูโรได้ในระยะสั้นนี้

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้บ้าง แต่เริ่มชะลอลงได้ และเงินบาทจะเริ่มแกว่งตัว sideways หลังผู้เล่นในตลาดยังคงมีความหวังต่อการเจรจาเพื่อยุติสงคราม ดังจะเห็นได้จากการที่ผู้เล่นในตลาดไม่ได้เร่งเทขายสินทรัพย์เสี่ยงรุนแรง แม้การเจรจาล่าสุดจะยังไม่ประสบความสำเร็จก็ตาม 

นอกจากนี้ ควรจับตาแรงซื้อสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเรามองว่าจะเป็นปัจจัยที่สำคัญเช่นกันต่อทิศทางของเงินบาท โดยนักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยบ้าง แต่ยังคงเห็นแรงขายบอนด์ระยะสั้นอยู่ ทว่าแรงขายบอนด์ระยะสั้นก็อาจเริ่มลดลง หลังจากที่นักลงทุนต่างชาติได้ปิดสถานะเก็งกำไรเงินบาทไปมากแล้ว ดังนั้น หากสถานการณ์สงครามไม่ได้เลวร้ายหรือทวีความรุนแรงมากขึ้น เราประเมิน นักลงทุนต่างชาติก็พร้อมจะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดทุนไทยอีกครั้งได้

อนึ่ง เรามองว่า แนวต้านของเงินบาทจะอยู่ใกล้โซน 33.50 บาทต่อดอลลาร์ (แนวต้านถัดไปจะอยู่ที่ 33.75) ซึ่งเริ่มเห็นบรรดาผู้ส่งออกมารอขายเงินดอลลาร์ในช่วงดังกล่าว ส่วนแนวรับสำคัญ จะอยู่ในช่วง 33.00-33.20 บาทต่อดอลลาร์ โดยฝั่งผู้นำเข้า รวมถึงผู้เล่นที่เป็นบริษัทต่างชาติ ต่างก็รอจังหวะ buy on dip อยู่ในโซนดังกล่าวพอสมควร 

อย่างไรก็ดี สภาวะสงครามที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูงอาจกดดันให้ตลาดพลิกกลับไปปิดรับความเสี่ยงและผันผวนหนักได้ทุกเมื่อ ซึ่งภาพดังกล่าวจะทำให้เงินบาทอาจผันผวนในกรอบที่กว้างกว่าช่วงปกติได้ ทำให้การปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนควรจะต้องมีการใช้เครื่องมือที่หลากหลายมากขึ้น อาทิ การใช้ Option มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.35-33.50 บาทต่อดอลลาร์

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img