“ศูนย์วิจัยเกียรตินาคินภัทร” หั่นเป้าจีดีพีเหลือ 3.2% วิตก “รัสเซีย-ยูเครน” ฉุดเศรษฐกิจโลก-เศรษฐกิจไทยซบเซา ปรับเงินเฟ้อเพิ่ม 4.2% หลังราคาน้ำมันพุ่ง
รายงานข่าวจาก KKP Research ธนาคารเกียรตินาคินภัทรแจ้งว่า ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปี 65 ลงเหลือ 3.2% จากที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 3.9% โดยประเมินว่า ความไม่แน่นอนต่อภาพแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อมีสูงขึ้นมาก จากผลกระทบของสถานการณ์ยูเครนและรัสเซีย และปรับประมาณการเงินเฟ้อเฉลี่ยจากที่เคยคาดไว้ในปี 65 ที่ 2.3% เพิ่มเป็น 4.2% จากต้นทุนราคาพลังงานและต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น
นอกจากนี้จากสถานการณ์ความขัดแย้งมีโอกาสยืดเยื้อ และประเทศตะวันตกอาจจะใช้มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติม รวมถึงมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกพลังงาน KKP Research ประเมินว่าราคาน้ำมันจะแตะระดับสูงสุดที่ค่าเฉลี่ย 130 ดอลลาร์/บาร์เรลในไตรมาส 2/65 และราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีที่ 110 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยความไม่แน่นอนจะส่งผลต่อความเชื่อมั่น และเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอาจจะกระทบทำให้การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลกลดลง
โดยปัจจัยหลักที่เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบมาจากที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งในช่วงไตรมาส 2/65 เงินเฟ้อคาดว่าจะแตะระดับสูงสุดที่ 5.5% ทำให้กำลังซื้อของประชาชนลดลง ภาคการส่งออกอาจจะชะลอตัวลงตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง โดยเศรษฐกิจยุโรป จะรับผลกระทบหนักกว่าภูมิภาคอื่น เนื่องจากมีความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจรัสเซียมาก และการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบ จากการเปิดประเทศที่ทำได้ช้ากว่าคาด ซึ่งเศรษฐกิจยุโรปที่ได้รับผลกระทบกว่าคาด นับเป็นตลาดการท่องเที่ยวที่สำคัญของไทย
อย่างไรก็ตาม ในกรณีเลวร้ายประเมินว่ามีโอกาสที่มาตรการคว่ำบาตรอาจจะรุนแรงมากขึ้น จนส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ยทั้งปีที่ 130 ดอลลาร์/บาร์เรล และมีความเสี่ยงที่จะเกิดการขาดแคลนสินค้าโภคภัณฑ์ และเศรษฐกิจโลกอาจเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยมากขึ้น ซึ่งจะดันให้อัตราเงินเฟ้อของไทยปรับตัวสูงขึ้นเป็น 5.1% ในขณะที่เศรษฐกิจไทยอาจเติบโตได้เพียง 2.7%
สำหรับสถานการณ์ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อไทยมากกว่าประเทศอื่น เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจไทยมีการพึ่งพาการใช้น้ำมันสูงไม่ต่างจากในอดีต ในขณะที่ทั่วโลกมีแนวโน้มลดลง สะท้อนจากตัวเลขอัตราการบริโภคพลังงานต่อ GDP หรือ Energy intensity ซึ่งแสดงถึงประสิทธิภาพในการใช้พลังงานเพื่อการผลิตสินค้าและบริการ ซึ่งเมื่อราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น เศรษฐกิจไทยจึงเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรงและอ่อนไหวต่อปัจจัยภายนอกค่อนข้างมาก แม้ว่าไทยจะเคยเจอเหตุการณ์คล้ายๆ กันมาแล้วในอดีตช่วงราคาน้ำมันแพง แต่โครงสร้างนโยบายยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเหมาะสมและเพียงพอ
ประเทศไทยไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่นำเข้าพลังงานสุทธิมากที่สุดประเทศหนึ่งในภูมิภาค ทำให้เมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้น จำเป็นต้องจ่ายเงินจำนวนมากขึ้น เพื่อนำเข้าน้ำมันและส่งผลให้ดุลการค้าขาดดุลเพิ่มเติมได้มาก โดยทุกๆ 10% ของราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยขาดดุลเพิ่มเติมประมาณ 0.3-0.5% ของ GDP หรือเทียบเท่ากับการนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนถึง 1-1.6 ล้านคน
ในหลายครั้ง เมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้นทำให้ดุลการค้าขาดดุลมากขึ้น จะเห็นค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงในเวลาเดียวกัน เช่นเดียวกันกับเงินเฟ้อของไทยที่ตอบสนองต่อราคาพลังงานมากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค จากการบริโภคพลังงานในสัดส่วนที่สูงกว่า แม้จะมีมาตรการอุดหนุนราคาจากภาครัฐบางส่วนแล้วก็ตาม
KKP Research ประเมินว่าราคาน้ำมันที่สูงขึ้นในปัจจุบันเป็นเพียงผลกระทบในขั้นแรก แต่ยังมีโอกาสที่ราคาสินค้าอื่นๆ จะสูงขึ้นตามมาได้อีกซึ่งเกิดจาก 2 ประเด็น คือ ราคาน้ำมันทำให้ภาระทางการคลังสูงขึ้น ในช่วงที่ผ่านมา ภาครัฐได้ตรึงราคาน้ำมันดีเซลค้าปลีกไว้ที่ 30 บาทต่อลิตร และพยายามคงราคาก๊าซ LPG ผ่านเงินสมทบกองทุนน้ำมัน แต่เมื่อราคาดีเซลหน้าโรงกลั่นปรับเพิ่มขึ้นทำให้เงินอุดหนุนเพิ่มขึ้นตาม โดยในกรณีฐานที่ราคาน้ำมันโลกอยู่ที่ 110 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล หากไม่มีการปรับนโยบาย ภาครัฐอาจต้องใช้เงินสูงถึงเดือนละกว่า 2 หมื่นล้านบาท (หรือกว่า 2 แสนล้านบาท/ปี คิดเป็น 1.8% ของ GDP) และทำให้ฐานะกองทุนน้ำมันขาดดุลมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ด้วยราคาน้ำมันที่ยังคงอยู่ในระดับสูง อาจทำให้ภาครัฐต้องลดระดับการอุดหนุนราคาน้ำมัน และปล่อยราคาน้ำมันขึ้นบางส่วน KKP Research ประเมินว่าหากไม่มีการอุดหนุนเลย ราคาน้ำมันดีเซลอาจเพิ่มขึ้นเป็น 38-40 บาท/ลิตร จากที่ตรึงไว้ที่ 30 บาท/ลิตร ราคาก๊าซ LPG อาจปรับเพิ่มขึ้นเป็น 430 บาท/ถัง 15 กิโลกรัม จากที่รัฐบาลตรึงราคาไว้ที่ 313 บาท นอกจากนี้ราคาค่าไฟฟ้าและราคาสินค้าอื่นๆ ที่เป็นสินค้าควบคุมมีโอกาสปรับสูงขึ้นตามต้นทุน
แม้ว่าจะมีมาตรการควบคุมราคาบางส่วน แต่ราคาอาหารจะปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาพลังงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในช่วงปี 57-61 ประเทศไทยเคยเผชิญสถานการณ์เงินเฟ้อจากราคาพลังงานเร่งตัวขึ้นโดยเฉลี่ย 28% ต่อปี แม้ว่ากลุ่มสินค้าจำเป็นส่วนใหญ่ถูกควบคุมราคาตามมาตรการของกรมการค้าภายใน ราคาสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มโดยทั่วไปยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 6%
โดยราคาสินค้าย่อยบางประเภทปรับตัวสูงขึ้นมาก เช่น ผักผลไม้เพิ่มขึ้นถึง 14% ข้าว 9% และ เนื้อสัตว์ 7% เป็นต้น เนื่องจากราคาพลังงานเป็นต้นทุนหลักในการขนส่งสินค้าเกษตร ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจะทำให้ราคาสินค้าอื่นๆ ปรับตัวสูงขึ้น เพิ่มแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อรวม แม้เศรษฐกิจยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่
ด้านค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาพลังงาน กำลังส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย มีความจำเป็นที่รัฐบาลอาจเข้าดูแลและบริหารจัดการ แต่ด้วยต้นทุนการคลังของการอุดหนุนเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว กำลังกลายเป็นความท้าทายจากต่อฐานะทางการคลังมากขึ้น และอาจจำเป็นต้องกลับมาทบทวนการดำเนินนโยบายเพื่อช่วยเหลือประชาชนใหม่อีกครั้ง ควรเน้นมาตรการที่ไม่เป็นการบิดเบือดตลาด
ลดความเสี่ยงจากขาดแคลนสินค้า และการกักตุนสินค้า การอุดหนุนโดยการตรึงราคาน้ำมัน อาจไม่ใช่วิธีการจัดสรรทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในภาวะที่ภาระการคลังสูงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเป็นการช่วยเหลือที่มีลักษณะบิดเบือนราคาตลาด ทำให้คนไม่ลดการใช้พลังงานลงเมื่อราคาแพงขึ้น และอาจเป็นการให้เงินอุดหนุนกับกลุ่มคนที่ไม่มีความจำเป็นต้องได้รับการอุดหนุน ทำให้ต้นทุนภาคการคลังสูงเกินไป นอกจากนี้มาตรการอุดหนุนราคาเป็นการช่วยเหลือคนทุกกลุ่ม รวมทั้งกลุ่มผู้มีฐานะที่ใช้รถยนต์เครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนของภาครัฐสูงเกินความจำเป็น
KKP Research มองว่าการพิจารณาหากลไกที่ช่วยคัดครองผู้ได้รับผลกระทบและแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด จะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินนโยบายการคลัง และลดผลกระทบได้จริงในระยะยาว นอกจากนี้ ต้นทุนภาระทางการคลังในการอุดหนุนราคาน้ำมันกำลังจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ในภาวะที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ยิ่งทำให้การใช้ทรัพยากรภาครัฐมีความจำเป็นต้องใช้อย่างคุ้มค่า นอกจากนี้ ในระยะยาวมีความจำเป็นในการปรับโครงสร้างให้เศรษฐกิจใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดการพึ่งพาพลังงานเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจไทย