หุ้นไทยปิดลบ 3.25 จุด นักลงทุนสถาบัน-ต่างชาติเทขายทำกำไร ประกอบกับFTSE rebalance ปรับลดน้ำหนักหุ้นไทยทำให้มีแรงขายหุ้นบิ๊กแคป ประเมินแนวรับ 1,660 จุด แนวต้าน 1,700 จุด
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโสและนักกลยุทธ์ บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) เปิดเผยภาวะตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,678.51 จุด ลบ 3.25 จุด หรือ 0.19 % โดยระหว่างวันดัชนีเคลื่อนไหวสูงสุดที่ระดับ1,685.68 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 1,677.16 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย98,135.25 ล้านบาทว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งตัวแคบๆ สลับบวก-ลบ ปัจจัยเชิงบวกมาจากราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นหลังจากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ออกรายงานเตือนภาวะตึงตัวในตลาดน้ำมัน ประเมินมาตรการคว่ำบาตรทำให้รัสเซียไม่สามารถส่งออกน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันอื่นๆ รวม 3 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนเม.ย.
ขณะที่อุปสงค์น้ำมันจะลดลงเพียง 1 ล้านบาร์เรล/วัน ทำให้กลุ่มพลังงานต้นน้ำและโรงกลั่นมีแรงเก็งกำไรเข้ามาส่วนปัจจัยในประเทศ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ผ่อนคลายให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยโดยไม่ต้องตรวจ RT-PCR ก่อน คาดว่าจะทำให้ต่างชาติเข้ามามากขึ้น เป็นแรงหนุนหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว AOT, ERW, MINT
สำหรับปัจจัยลบที่กดดัชนีวันนี้ส่วนหนึ่งมาจาก FTSE rebalance ปรับลดน้ำหนักหุ้นไทย ทำให้มีแรงขายหุ้นใหญ่ออกมา แม้จะคาดว่าจะลด น้ำหนักลงเพียงประมาณ 20-25 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่เป็นปัจจัยกดดัน sentiment การลงทุนทำให้ตลาดไปไหนไม่ไกล
ด้านมูลค่าการซื้อขายวันนี้พบว่า นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 198.16 ล้านบาท ต่างประเทศขายสุทธิ 2,234.60 ล้านบาท บัญชีบล.ซื้อสุทธิ 1,374.37 ล้านบาทในประเทศซื้อสุทธิ 1,058.38 ล้านบาท
สำหรับแนวโน้มสัปดาห์หน้า คาดว่าตลาดก็ยังไปไหนไม่ไกล โดยมีปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ สถานการณ์ความตึง เครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน โดยในสัปดาห์หน้าประเมินแนวรับ 1,660 จุด แนวต้าน 1,700 จุด
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
KBANK มูลค่าการซื้อขาย 5,189.79 ล้านบาท ปิดที่ 161.50 บาท ลดลง 1.50 บาท
PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 4,330.47 ล้านบาท ปิดที่ 145.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท
CPALL มูลค่าการซื้อขาย 3,552.32 ล้านบาท ปิดที่ 67.25 บาท ลดลง 0.25 บาท
AOT มูลค่าการซื้อขาย 2,923.55 ล้านบาท ปิดที่ 65.00 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
JTS มูลค่าการซื้อขาย 2,459.79 ล้านบาท ปิดที่ 285.00 บาท ลดลง 6.00 บาท
