วันอังคาร, ตุลาคม 1, 2024
spot_img
หน้าแรกHighlightเงินบาทอ่อนทุบสถิติใหม่รอบ 2 เดือน
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

เงินบาทอ่อนทุบสถิติใหม่รอบ 2 เดือน

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 33.62 บาทต่อดอลลาร์อ่อนค่าลงในรอบ 2 เดือน นับจาก 10 ม.ค.ที่ผ่านมา ท่ามกลางสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อกว่าคาด “พาวเวลล์” ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 0.25% สกัดเงินเฟ้อในการประชุมครั้งต่อไปเดือนพ.ค.-มิ.ย.นี้

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงินธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 33.62 บาทต่อดอลลาร์อ่อนค่าลงในรอบ 2 เดือนนับจาก 10 ม.ค.ที่ผ่านมา  ท่ามกลางสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่มีแนวโน้มจะยืดเยื้อกว่าคาด อีกทั้งการเจรจาสันติภาพระหว่างสองฝ่ายก็ยังไม่มีแนวโน้มที่จะบรรลุข้อตกลงกันได้ 

นอกจากนี้ผู้เล่นในตลาดเริ่มกลับมากังวลแนวโน้มเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง หลังประธานเฟด Jerome Powell ได้ส่งสัญญาณว่า เฟดอาจจำเป็นที่จะต้องขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 0.25% ในการประชุมครั้งหนึ่ง หรือหลายครั้ง เพื่อสกัดปัญหาเงินเฟ้อและสร้างความเชื่อมั่นว่าราคาสินค้าจะกลับมามีเสถียรภาพได้ (Price Stability Target) ถ้อยแถลงดังกล่าวของประธานเฟดได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มมองว่า เฟดอาจจะขึ้นดอกเบี้ยได้ครั้งละ 0.5% ในการประชุมเดือนพฤษภา คมและมิถุนายน (โอกาสราว 60% จาก CME FedWatch Tool)

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าคาด ได้หนุนให้ผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาทยอยขายสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเทคฯ ที่มีความอ่อนไหวกับแนวโน้มดอกเบี้ย ส่งผลให้ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลงราว -0.4% ส่วนดัชนี S&P500 ปรับตัวลงเล็กน้อย -0.04% โดยมีแรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ Marathon Oil +8.5%, Occidental +8.4% หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องอีกครั้ง จากความไม่แน่นอนของสงคราม

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าลงและผันผวนในกรอบกว้าง หลังผู้เล่นในตลาดการเงินยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยง อีกทั้ง ตลาดก็เริ่มกลับมากังวลแนวโน้มเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย

 อย่างไรก็ดี ควรจับตาทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ หลังจากล่าสุดนักลงทุนต่างชาติกลับมาขายทั้งหุ้นและบอนด์ อนึ่ง เราเริ่มเห็นว่า แรงเทขายบอนด์ระยะสั้นของนักลงทุนต่างชาติเริ่มลดลง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณที่บอกได้ว่า บรรดาผู้เล่นต่างชาติที่เข้ามาเก็งกำไรเงินบาทก่อนหน้า ได้ปิดสถานะถือครองไปเกือบหมดแล้ว ทำให้มีโอกาสที่จะเกิดแรงเทขายบอนด์ระยะสั้นที่รุนแรงไม่มากนัก และหากสถานการณ์สงครามเริ่มคลี่คลาย ทิศทางการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยเริ่มชัดเจน ก็อาจเห็นนักลงทุนต่างชาติทยอยกลับเข้ามาเก็งกำไรเงินบาทผ่านการกลับมาซื้อสุทธิบอนด์ระยะสั้นได้ 

ทั้งนี้ในระยะสั้น เงินบาทยังคงมีแนวต้านของเงินบาทจะอยู่ใกล้โซน 33.60-33.75 บาทต่อดอลลาร์  ซึ่งเรายังคงเห็นบรรดาผู้ส่งออกต่างมารอขายเงินดอลลาร์ในช่วงดังกล่าว ขณะที่แนวรับจะอยู่ในช่วง 33.00-33.20 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งใกล้กับแนวรับเส้นค่าเฉลี่ย 100 วันและ 200 วัน มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.50-33.75 บาทต่อดอลลาร์ 

ส่วนในฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป ย่อตัวเล็กน้อยราว -0.53% ท่ามกลางแรงกดดันจากความไม่แน่นอนของการเจรจาสันติภาพ ส่งผลให้ผู้เล่นบางส่วนทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ของหุ้นในสัปดาห์ก่อนหน้าออกมาบ้าง 

อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงานที่ปรับตัวขึ้นตามราคาสินค้าพลังงาน อาทิ Eni +2.9%, Enel +1.1% จากความไม่แน่นอนของสงครามและผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจยุโรปทำให้เราคงมุมมอง wait and see สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปไปก่อน แม้ว่า ในเชิง valuation ตลาดหุ้นยุโรปจะอยู่ในระดับราคาที่ถูกแล้วก็ตาม

ส่วนทางด้านฝั่งตลาดบอนด์ ท่าทีของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดที่ส่งสัญญาณว่าเฟดอาจเร่งขึ้นดอกเบี้ย รวมถึงการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบ ได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นกว่า 10bps สู่ระดับ 2.29% 

ทั้งนี้มองว่าถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ นอกเหนือจากแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยการลดงบดุลของเฟด คือปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อบอนด์ยีลด์ได้ โดยควรจับตาว่าบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดจะเปิดเผยรายละเอียดหรือให้มุมมองเกี่ยวกับ การปรับลดงบดุลของเฟดอย่างไร อาทิ อัตราการลดงบดุลจะเป็นเท่าใดและเฟดจะมีโอกาสขายตราสารหนี้ออกมาหรือไม่  

ขณะที่ตลาดค่าเงินนั้น เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ทำให้ล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 98.50 จุด อีกครั้ง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการเจรจาสันติภาพรัสเซีย-ยูเครน และแรงหนุนจากท่าทีของเฟดที่พร้อมเร่งขึ้นดอกเบี้ย เพื่อสกัดเงินเฟ้อ 

ทั้งนี้แม้เงินดอลลาร์รวมถึงบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ จะปรับตัวสูงขึ้น แต่ราคาทองคำก็สามารถรีบาวด์ขึ้นสู่ระดับ 1,935 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งมองว่า ผู้เล่นในตลาดทองคำควรระมัดระวังแรงขายทำกำไร หากสถานการณ์สงครามคลี่คลายลงชัดเจน โดยแนวต้านสำคัญของราคาทองคำที่คาดว่าผู้เล่นในตลาดบางส่วนจะเริ่มทยอยขายทำกำไรคือ โซน  1,950 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

สำหรับวันนี้ ตลาดจะรอติดตามสถานการณ์สงครามรวมถึงการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซีย-ยูเครน นอกจากนี้ ควรรอติดตามท่าทีของพันธมิตร NATO ที่มีกำหนดจัดประชุม Emergency Summit ในสัปดาห์นี้ว่าบรรดาผู้นำชาติพันธ มิตร NATO จะมีความเห็นต่อสถานการณ์สงครามอย่างไร อาทิ จะมีการส่งความช่วยเหลือทางทหารกับยูเครนเพิ่มเติมหรือไม่ รวมถึง จะมีการประกาศมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียที่รุนแรงหรือไม่ ทำให้มองว่าสถานการณ์สงครามและการเจรจายังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง และอาจทำให้ตลาดการเงินยังมีโอกาสผันผวนสูงต่อไปได้ในระยะสั้นนี้ 

และนอกเหนือจากภาวะสงคราม ตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อติดตามมุมมองต่อทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงแนวโน้มการปรับนโยบายการเงิน หลังจากที่ประธานเฟดได้ออกมาส่งสัญญาณว่าพร้อมจะเร่งขึ้นดอกเบี้ยหากจำเป็น นอกจากนี้ตลาดจะรอติดตามมุมมองของเจ้าหน้าที่เฟดต่อประเด็นการปรับลดงบดุลของเฟด ซึ่งเรามองว่าจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อบอนด์ยีลด์และตลาดการเงินโดยรวมได้

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img