วันเสาร์, พฤศจิกายน 23, 2024
spot_img
หน้าแรกCOLUMNISTSบทพิสูจน์ใครปั้นพยานเท็จ “พล.ต.ท.สมคิด”ฟ้องกลับ“พ.ต.อ.ทวี”
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

บทพิสูจน์ใครปั้นพยานเท็จ “พล.ต.ท.สมคิด”ฟ้องกลับ“พ.ต.อ.ทวี”

บางครั้งกระบวนยุติธรรมบ้านเรา มักถูกตั้งคำถามจากคนบางกลุ่ม ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่เป็นกลาง มีปัญหาในเรื่องความน่าเชื่อถือ แต่หลายครั้งก็เป็นเพียงความรู้สึก ไม่มีหลักฐานมายืนยัน แต่ไม่น่าเชื่อ บางเรื่องผ่านมาพ้นมาแล้วหลายสิบปี ก็กลายเป็นประเด็นขึ้นมา เมื่อผู้ถูกดำเนินคดี ไม่ยอมถูกกระทำฝ่ายเดียว

เมื่อวันที่ 14 มี.ค. 65 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นัดฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ คดี อท.ที่ 114/2562 ระหว่าง พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ยื่นฟ้อง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ), พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย หัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน และ พ.ต.ท.เบญจพล จันทวรรณ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ทั้งหมดตำแหน่งขณะนั้น รวม 3 คน เป็นจำเลย

โดยคำร้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อ พ.ศ.2552 พ.ต.อ.ทวี อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ​ กับพวก รวม 3 คน ปฏิบัติหน้าที่เป็นคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษที่ 4/2547 ได้ร่วมกันสอบสวนดำเนินคดี พล.ต.ท.สมคิด กับพวก รวม 5 คน

ประกอบด้วย พ.ต.อ.สรรักษ์ หรือสมชาย จูสนิท ผกก.สภ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน, พ.ต.อ.ประภาส ปิยะมงคล ผกก.สภ.น้ำขุ่น จ.อุบลราชธานี, พ.ต.ท.สุรเดช อุดมดี และ จ.ส.ต.ประสงค์ ทอรั้ง ตำรวจนอกราชการ เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐาน ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และขอให้ศาลมีคำสั่งคืนแหวนของกลางคืน ให้แก่ทายาทของนายโมฮัมหมัดอัลรูไวลี่ ด้วย

โดยสอบสวน “พ.ต.ท.สุวิชชัย” หรือ “อัคควุธ แก้วผลึก” เป็นพยาน พร้อมอ้างแหวนทองวัตถุพยาน ของกลางเป็นพยานหลักฐานใหม่ เพื่อสอบสวนรื้อฟื้นดำเนินคดี พล.ต.ท.สมคิดกับพวก ทั้งที่ไม่มีพยานหลักฐาน ที่จะรับฟังได้ว่าผู้ต้องหากับพวกร่วมกันกระทำความผิด

อีกทั้งในการสอบสวนพยาน ทั้งที่เป็นจำเลยหลบหนีหมายจับตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลอุทธรณ์ (จังหวัดมีนบุรี) ให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ในคดีร่วมกันฆ่านายฉัตรดำรงพรรณ ไชยเฉลิมภัค เชื้อพระวงศ์ลาว โดยมีพฤติการณ์ส่อว่าจูงใจ ต่อรองเพื่อให้พยานกลับคำให้การจากเดิมเป็นพยานบอกเล่าไม่เห็นเหตุการณ์ เปลี่ยนเป็นกลับคำให้การว่าเห็นเหตุการณ์

ขณะที่ผู้ต้องหากับพวกกระทำผิด พนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้อง พล.ต.ท.สมคิดกับพวก เป็นจำเลย คดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.119/2553 ข้อหาร่วมกันฆ่านายโมฮัมหมัด อัลรูไวลี่ ต่อมาศาลอาญามีคำพิพากษายกฟ้อง, ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง และ ศาลฎีกามีคำพิพากษาที่ 7615/2561 เมื่อวันที่ 22 มี.ค.62 ยกฟ้อง พล.ต.ท.สมคิด กับพวก รวม 5 คน  โดยนัดสอบคำให้การจำเลยทั้ง 3 เพิ่มเติมและกำหนดนัดสืบพยานในวันที่ 6 พ.ค.65 เวลา 09.00 น.

สำหรับหตุการณ์การหายตัวไปของ นายมูฮัมหมัด อัลรูไวรี่ นักธุรกิจและมีศักดิ์เป็นพระญาติของกษัตริย์ไฟซาลแห่งซาอุฯ เกิดขึ้นเมื่อเดือนก.พ. 2533 โดยนายอัลรูไวรี่ขับรถหมายเลขทะเบียน 3 ข-9867 กทม. ออกจากบ้านไปทำงานเวลาบ่ายสามโมง แล้วหายตัวไป

ต่อมาทางการซาอุฯเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ โดยตำรวจได้ออกสืบสวนตามสถานที่ต่างๆ แต่ไม่พบ จนวันที่ 15 ก.พ. 2533 ได้พบรถยนต์จอดอยู่ที่ลานจอดรถของรพ.กรุงเทพคริสเตียน แต่ไม่พบนายอัลรูไวรี่ เมื่อสอบถามนางจามารี ซึ่งเป็นญาติก็ไม่ทราบ และได้เดินทางกลับประเทศซาอุฯไป ทางตำรวจจึงส่งรูปถ่ายพร้อมตำหนิรูปพรรณ ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งมีคำสั่งให้สืบหาตัวแต่ก็ไม่พบ

ก่อนหน้านี้เคยมีการดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.สมคิด บุญถนอม (ยศขณะนั้น) กับพวก ซึ่งเป็นเจ้าหน้าสืบสวนในคดีฆาตกรรมนักการทูตซาอุฯ แต่อัยการสั่งไม่ฟ้อง เนื่องจากพยานหลักฐานไม่พอเมื่อปี 2536 ทำให้คดีถึงที่สุด

จนกระทั่งมีการก่อตั้ง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ขึ้น ทางตำรวจจึงได้โอนเรื่องให้ดีเอสไอรับผิดชอบ และตั้งคณะทำงานขึ้นมาทำการสืบสวนสอบสวนต่อ ก็ยังไม่พบตัวนายอัลรูไวรี่แต่อย่างใด จากนั้นคดีความการหายตัวไปของนายอัลรูไวรี่ เงียบหายไปนับสิบปี จนกระทั่งดีเอสไอในยุคของ “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” เป็นอธิบดีดีเอสไอ ได้ปัดฝุ่นคดีการหายตัวไปของนักธุรกิจซาอุฯผู้นี้ขึ้นมา

และเป็นจุดเริ่มต้นของการออกหมายเรียก “พล.ต.ท.สมคิด”  ผบช.ภ.5 (ตำแหน่งขณะนั้น), พ.ต.อ.สรรักษ์ หรือสมชาย จูสนิท ผกก.สภ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน, พ.ต.อ.ประภาส ปิยะมงคล ผกก.สภ.น้ำขุ่น จ.อุบลราชธานี, พ.ต.ท.สุรเดช อุดมดี และ จ.ส.ต.ประสงค์ ทอรั้ง ตำรวจนอกราชการ มารับทราบข้อกล่าวหา ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน ปิดบังซ่อนเร้นทำลายศพ ร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยว ข่มขืนใจให้ผู้อื่นกระทำหรือไม่กระทำการ

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง

ดีเอสไอระบุว่า “มีพยานหลักฐานใหม่” เพื่อรื้อฟื้นคดีซึ่งมีน้ำหนักพอที่จะสั่งฟ้องผู้ต้องหาในคดีนี้ได้ แต่ในที่สุดศาลฎีกาก็ยกฟ้อง นำมาสู่การที่ ”อดีตผบช.ภ. 5” ฟ้องกลับ “พ.ต.อ.ทวี” ปัจจุบันมีสถานะเป็นส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรคประชาชาติ (ปช.)

สำหรับ พ.ต.อ.ทวี ถูกโอนมาเป็นข้าราชการพลเรือน มารับตำแหน่งรองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เมื่อปี 2547 ในยุคของ “นายทักษิณ ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรี โดยดูแลคดีสำคัญต่าง ๆ หลายคดีด้วยกัน เช่น คดีเช่าตึกทีพีไอทาวเวอร์, คดีปั่นหุ้นปิคนิค, คดีทุจริตขายสินทรัพย์ขององค์กรเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน และคดีต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทุจริตของกลุ่มนายทักษิณ

อย่างไรก็ตาม หลังจากเหตุการณ์รัฐประหาร พ.ศ.2549 พ.ต.อ.ทวีถูกย้ายจากรองอธิบดีดีเอสไอ ไปเป็น รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) กระทั่งเมื่อเข้าสู่ยุครัฐบาลพรรคพลังประชาชน (พปช.) พ.ต.อ.ทวีจึงได้กลับเข้ามาที่ดีเอสไออีกครั้ง ซึ่งในครั้งนี้ “พ.ต.อ.ทวี” ได้รับตำแหน่งอธิบดี
แต่การทำหน้าที่ในฐานะอธิบดีดีเอสไอของพ.ต.อ.ทวี ถูกวิจารณ์จากหลายฝ่าย ว่าพยายามช่วยเหลือให้นายทักษิณรอดพ้นจากความผิดในคดีต่างๆ เช่น คดีอุ้มนายสมชาย นีละไพจิตร, คดีหุ้นเอสซีแอสเสท, คดีฆ่าตัดตอนช่วงปราบปรามยาเสพติด และจากข้อสงสัยดังกล่าว ส่งผลให้ในปีพ.ศ.2552 พ.ต.อ.ทวีถูกย้ายไปดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และให้ “นายธาริต เพ็งดิษฐ์” ดำรงตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอแทน ในยุครัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

แต่เมื่อพรรคเพื่อไทย (พท.) มาเป็นรัฐบาล “พ.ต.อ.ทวี” ก็กลับมาเติบโตในหน้าที่การงานอีกครั้ง โดยดำรงตำแหน่ง เลขาธิการศูนย์บริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) แต่ะลังจาก คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คชส.) เข้ามายึดอำนาจเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2557 ต่อมาวันที่ 24 พฤษภาคม 2557 คสช.สั่งย้ายเป็นที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

จากนั้น “พ.ต.อ.ทวี” ก็ประกาศลาออกจากการรับราชการ เข้ามามีส่วนร่วมก่อตั้ง “พรรคประชาชาติ” (ปช.) กับ “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” ลงสู้ศึกเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 โดยเป็นผู้สมัครระบบบัญชีรายชื่อลำดับ 2 รองจากวันมูหะมัดนอร์ จากนั้นเมื่อเบอร์ 1 ลาออก ได้สิทธิขยับเป็นส.ส.แทนที่ และมีสถานะเป็น เลขาธิการพรรค ปช. มีบทบาทสำคัญในการอภิปรายไม่วางใจรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทุกครั้ง

วันมูหะมัดนอร์ มะทา_พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง

ดังนั้นการต้องเผชิญวิบากกรรมครั้งนี้ จึงถือเป็นปัญหาใหญ่ของเลขาธิการพรรค ปช. เพราะมีข่าวว่า “พล.ต.ท.สมคิด” มีข้อมูลหลักฐาน เพื่อต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ โดยมีทีมกฎหมายที่อยู่ในระดับพระกาฬ ซึ่งหลายคนเชื่อว่า สังคมต้องจับตามองคดีนี้ อย่างใจจดใจจ่อ

โดยเฉพาะ “พล.ต.ท.สมคิด” ได้เคยกล่าวหาอัยการใหญ่รายหนึ่ง สมคบพนักงานดีเอสไอ กรมสอบสวนคดีพิเศษ 2 คนลักลอบนำตัว “พ.ต.ท.สุวิชชัย แก้วผลึก” พยานโจทก์คนสำคัญในคดีดังกล่าว ซึ่งเป็นจำเลยในอีกคดี (ศาลอุทธรณ์ตัดสินถึงที่สุดให้จำคุกตลอดชีวิต ในคดีร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามหมายจับที่ออกโดยศาลจังหวัดมีนบุรี ที่ 380/2552 ลงวันที่ 23 มีนาคม 2552) ออกนอกประเทศไปยัง สหรัฐอาหรับเอเมิเรตส์ (ยูเออี) เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2555 ที่ผ่านมา เพื่อให้พ้นเขตอำนาจศาลไทยและใช้เป็นข้ออ้างในการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ส่งประเด็นไปสืบพยาน (พ.ต.ท.สุวิชชัย) ที่ศาลยูเออี

ข้อกล่าวหาดังกล่าวของพล.ต.ท.สมคิด อยู่ในคำร้องคัดค้านการส่งประเด็นไปสืบปากคำ “พ.ต.ท.สุวิชชัย” ที่ยื่นต่อศาลอาญา เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2556 และมีการนัดอ่านคำสั่ง เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2556 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ “นายโกวิท ศรีไพโรจน์” พนักงานอัยการ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2556 อ้างว่า พ.ต.ท.สุวิชชัยพำนักอยู่ที่ยูเออีแล้วตามหนังสือของกระทรวงการต่างประเทศ (ไทย) ที่ กต.1403/35 ลงวันที่ 7 มกราคม 2556 และหนังสือกระทรวงการต่างประเทศ กรมกิจการคนชาติและคนต่างชาติ ยูเออี ลงวันที่ 6 มกราคม 2556 (แต่พนักงานอัยการมิได้แนบหนังสือทั้งสองฉบับไว้ในคำร้อง ทำให้จำเลยไม่สามารถตรวจสอบได้)

คำร้องของพล.ต.ท.สมคิด ระบุว่า อัยการพิเศษฝ่ายรายหนึ่ง ได้สั่งซื้อตั๋วเครื่องบินสายการบิน ETIHAD AIRWAYS เที่ยวบินที่ EY401 จากเอเยนต์ให้แก่ พ.ต.ท.สุวิชชัย (ชั้นธุรกิจ) และพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ 2 นาย ยศ “พ.ต.ท.” และ “ร.ต.อ.” (ชั้นประหยัด) เป็นเงิน 115,600 บาทในวันที่ 21 ธันวาคม 2555 โดยให้เจ้าหน้าที่หน้าที่นิติกรในสำนักงานโอนเงินจาก ธนาคารไทยพาณิชย์สาขาย่อย ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานอัยการสูงสุด (ออส.) ไปให้ บริษัทเอเยนต์ขายตั๋ว

จากนั้นในค่ำวันเดียวกัน พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ 2 นายดังกล่าว ได้นำตัวพ.ต.ท.สุวิชชัย (มีการเปลี่ยนชื่อ นามสกุลและย้ายที่อยู่ใหม่ ไปอยู่ที่ อ.ยี่งอ จ.นราธิวาสและมีการพาสปอร์ตเลขที่ O-402107 ใหม่แบบพิเศษเสร็จในวันเดียววันเดียวได้ที่กระทรวงการต่างประเทศ) ไปสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อเดินทางไปยูเออี ด้วยเที่ยวบินที่ EY401 ออกเดินทาง เวลา 20.05 น. จากประเทศไทย ไปยังกรุงอาบูดาบี ยูเออี

แต่ถูก ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ห้ามออกนอกประเทศ เพราะยังติดแบล็กลิสต์ เนื่องจากมีหมายจับในคดีที่ศาลตัดสินถึงที่สุดในคดีฆาตกรรมอยู่ ทำให้ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ 2 นาย ที่ผ่านด่านตรวจเข้าไปก่อน ต้องย้อนกลับมาช่วยเหลือ พร้อมยกเลิกการเดินทาง โดยอ้างกับเจ้าหน้าที่ว่า “ไม่ทันเครื่อง”

และได้นำตัวพ.ต.ท.สุวิชชัย ออกไปอีกครั้งหนึ่งในเวลาประมาณตีสองครึ่ง ของวันที่ 22 ธันวาคม “โดยไม่ผ่านช่องทางที่ชอบด้วยกฎหมาย” เพราะตรวจไม่พบข้อมูลการเดินทางออกนอกประเทศทางด่าน ตม.ทอ.สุวรรณภูมิ ในคืนวันดังกล่าวแต่อย่างใด จนกระทั่งได้ขึ้นบินด้วยเที่ยวบินที่ EY407 ไปยังประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

เมื่อวันนี้ “พล.ต.ท.สมคิด” พลิกบทจากจำเลยกลายมาเป็นโจทก์ งานนี้คงไม่มีวันจบงานแน่ ๆ ซึ่งเชื่อว่า “พ.ต.อ.ทวี” ก็ต้องต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ เนื่องจากมีผลต่อความน่าเชื่อถือและ อิสรภาพตนเอง 

แต่สำคัญที่สุด การมีบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม เข้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี้นี้ ไม่รู้งานนี้จะมีใครถูกเช็คบิลตามมาหรือไม่ ใครเป็นจอมบงการ” ที่มีอำนาจ จนทำให้เกิดเรื่องราวบานปลาย แบบที่หลายคนนึกไม่ถึง

………………

คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก

โดย…. “แมวสีขาว”

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img