นายกรัฐมนตรี ยืนยันรัฐบาลเอาจริงปราบสแกมเมอร์และฟอกเงิน ไม่ปล่อยให้เป็นพื้นที่ “สีเทา” ของภูมิภาค ชี้เบื้องหลังโยงยาเสพติด–ค้ามนุษย์ พร้อมสนับสนุน ปปง. และตำรวจเร่งสืบสวนเชิงลับ ยึดทรัพย์ต่อเนื่องหลายหมื่นล้านบาท หวังฟื้นความเชื่อมั่นและปกป้องภาพลักษณ์ประเทศ
เมื่อเวลา 09.10 น. วันที่ 5 พ.ย.68 ที่พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวบนเวที THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 ว่า การต่อสู้กับกลุ่มกระทำความผิดเช่นสแกมเมอร์และการฟอกเงินต้องทำอย่างจริงจังและโปร่งใส ไม่ควรถูกมองเป็นเรื่อง “สีเทา” เพราะเบื้องหลังธุรกิจผิดกฎหมายเหล่านี้มักเกี่ยวพันกับยาเสพติดและการค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นอาชญากรรมที่มีผลร้ายแรงต่อสังคมและเศรษฐกิจประเทศ.
นายกฯ ระบุว่า รัฐบาลมีเครื่องมือและหน่วยงานสำคัญในการปราบปราม ทั้งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขณะเดียวกันการทำงานเป็นไปในรูปแบบการสืบสวนเชิงลับและขยายผลทางกฎหมาย ซึ่งไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดทุกขั้นตอนสู่สาธารณะได้ แต่ยืนยันว่ารัฐบาลต้องอยู่ “นำหน้า” ผู้กระทำผิด ไม่ใช่ไล่ตามในภายหลัง.
ในช่วงหลังรัฐบาลรายงานความสำเร็จเชิงปฏิบัติ เช่น การอายัดทรัพย์สินมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทและการดำเนินการตรวจสอบเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง นายกฯเปิดเผยตัวเลขการยึดทรัพย์ในระดับสองหมื่นล้านบาทและการดำเนินการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการขยายผลจากการสืบสวนเพื่อตัดวงจรการฟอกเงินและการนำเงินผิดกฎหมายกลับสู่ระบบ.
นอกจากนี้ นายกฯกล่าวถึงแผนการร่วมมือข้ามหน่วยงานและระหว่างประเทศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปราบปราม โดยมีการเตรียมทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเสริมการสืบสวนและการยึดทรัพย์ ขณะเดียวกันรัฐบาลยังไม่เกรงกลัวต่อผู้มีอิทธิพลหรือมาเฟียใด ๆ ที่อาจพยายามข่มขู่ เพราะการใช้อำนาจต้องยึดตามกรอบกฎหมายและผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ.
นายกฯยังเน้นย้ำว่า เทคโนโลยีและวิธีการของผู้กระทำความผิดเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว รัฐบาลจึงพร้อมสนับสนุนเครื่องมือและงบประมาณที่จำเป็น รวมถึงการพิจารณาใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ เพื่อช่วยติดตามเส้นทางการเงินและเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการดำเนินงานส่วนใหญ่ต้องทำแบบลับเพื่อให้ได้ผลและขยายผลยึดทรัพย์อย่างต่อเนื่อง.
นายกรัฐมนตรีสรุปว่า การปราบสแกมเมอร์และการฟอกเงินเป็นวาระแห่งชาติที่ไม่อาจผ่อนปรนได้ รัฐบาลต้องทำงานอย่างรอบด้านทั้งการสอบสวน ยึดทรัพย์ และความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อปกป้องประชาชนและรักษาภาพลักษณ์ของประเทศไม่ให้ถูกตราหน้าว่าเป็นแหล่งฟอกเงินในระดับภูมิภาค.











