“มูดี้ส์” คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ Baa1 คาด “จีดีพี” เติบโต 2-3 ปีข้างหน้า โควิดคลาย-ท่องเที่ยวฟื้น ขณะที่ทุนสำรองระหว่างประเทศสูง
นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมา บริษัท Moody’s Investors Service (Moody’s) ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ Baa1 หรือเทียบเท่า BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) ที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ประเทศไทยมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ มีความหลากหลาย และมีประสิทธิผลของนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่มีประสิทธิภาพและแข็งแกร่ง ทำให้มีความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจที่จะสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและแรงกระทบที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง (Shock) ในอนาคตได้
ซึ่ง Moody’s คาดว่า ในระยะยาวการดำเนินการภายใต้โครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) จะสนับสนุนการลงทุนเพิ่มขึ้นและการเพิ่มผลผลิต (Productivity) เติบโตอย่างแข็งแกร่ง
นอกจากนี้ Moody’s คาดว่า ในระยะ 2 – 3 ปีข้างหน้าการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 คลี่คลาย และภาคการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวขึ้น จึงคาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2565 และปี 2566 จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ร้อยละ 3.4 และร้อยละ 4.8 ตามลำดับ
2. ภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) ของประเทศไทยมีความแข็งแกร่ง เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกัน (Baa Peers) โดย Moody’s คาดว่า ช่วง 2 – 3 ปีข้างหน้ารัฐบาลจะยังคงดำเนินนโยบายการคลังแบบผ่อนคลายเพื่อส่งเสริมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่มีความเปราะบางโดยหนี้ภาครัฐบาล (General Government Debt) ปี 2565 – 2567 มีแนวโน้มสูงขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ร้อยละ 52 – 54 ของ GDP
ทั้งนี้ เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวส่งผลทำให้การขาดดุลงบประมาณและภาระหนี้ลดลงนอกจากนี้ สัดส่วนหนี้ภาครัฐบาลสกุลเงินต่างประเทศที่อยู่ในระดับต่ำมากประกอบกับเงินออมภายในประเทศมีจำนวนมากจะทำให้ต้นทุนการกู้เงินต่ำลง ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยคงความสามารถในการชำระหนี้อยู่ในระดับสูง (High Debt Affordability)
3. ภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) มีความเข้มแข็ง ทุนสำรองระหว่างประเทศยังคงอยู่ในระดับสูง แม้ว่าปี 2565 ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลเล็กน้อยเนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์และต้นทุนการขนส่งที่สูงขึ้น แต่คาดว่าจะกลับมาเกินดุลในปี 2566
4. สำหรับปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ Moody’s ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือ (Sovereign Credit Rating) ของประเทศไทย คือ การเพิ่มระดับการลงทุนและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตของผลผลิต (Productivity Growth) อย่างยั่งยืน ซึ่งอาจช่วยลดผลกระทบจากปัญหาช่องว่างทางทักษะของแรงงานและโครงสร้างประชากรจากสังคมผู้สูงอายุได้ และการดำเนินการภายใต้ EEC ดีกว่าที่คาดการณ์
ขณะที่ปัจจัยสำคัญซึ่งอาจกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือ คือ ตัวชี้วัดภาคการคลังและหนี้สาธารณะที่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญเกินกว่าที่ Moody’s คาดการณ์ในปัจจุบัน รวมถึงการดำเนินการตามแผนการคลังระยะปานกลาง ตลอดจนปัจจัยทางการเมืองที่อาจส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและภาคการคลังของประเทศ
5. นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยสะท้อนได้จากล่าสุดธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเป็นบวกได้ร้อยละ 3 ในปี 2565 และขยายตัวร้อยละ 4.5 ในปี 2566 เนื่องจากเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยตั้งแต่ 2 – 3 เดือนสุดท้ายของปี 2564 และคาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในปี 2565 สอดคล้องกับสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยที่อยู่ในระดับที่ไม่น่ากังวล
ซึ่งมาตรการของรัฐบาลที่ผ่านมา เช่น เราไม่ทิ้งกัน เราชนะ การเพิ่มกำลังซื้อผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และคนละครึ่ง เป็นต้น ช่วยเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ในช่วงที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี และมีส่วนทำให้สถานการณ์ด้านความเหลื่อมล้ำ สะท้อนจากค่าสัมประสิทธิ์ GINI ในปี 2563 มีค่าอยู่ที่ 0.35 มิได้เปลี่ยนแปลงจากช่วงก่อน COVID-19 และลดลงเมื่อเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา
สำหรับหนี้ครัวเรือน ณ สิ้นสุดไตรมาส 4 ปี 2564 อยู่ที่ 14.58 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 90.1 ต่อ GDP ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลของ GDP ที่หดตัวจากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวได้ ระดับหนี้ครัวเรือนต่อ GDP จะลดลงในอนาคต
นอกจากนี้ หนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ (ร้อยละ 34.5) เพื่อการประกอบอาชีพ (ร้อยละ 18.1) และเพื่อการซื้อทรัพย์สิน (ร้อยละ 12.4) ในขณะที่หนี้ครัวเรือนเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลมีสัดส่วนที่น้อยกว่าอยู่ที่ร้อยละ 27.8 ดังนั้น หนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่จึงเป็นหนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้และสร้างอาชีพให้กับประชาชนในอนาคตต่อไป