“ไชยา” รับลูก “ยุทธพงศ์” เชิญหลายหน่วยงาน แจงกมธ.ติดตามงบฯ สภาฯ. ปมประมูลท่อส่งน้ำอีอีซี สัปดาห์หน้า “ไชยา” จ่อบุก สำนักงบฯ ทวงเอกสารใช้งบกลางปี 64-65 ของ “ประยุทธ์” แก้โควิด-ฟื้นเศรษฐกิจ
วันที่ 4 พ.ค. 65 นายไชยา พรหมา ส.ส.หนองบัวลำภู พรรคเพื่อไทย ฐานะประธานคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ตนได้รับเรื่องร้องเรียนจากนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ต่อกรณีการประมูลเพื่อหาผู้ดำเนินการในโครงบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก (อีอีซี) มูลค่า 2 หมื่นล้านบาท ที่ส่อไม่โปร่งใส และมีปัญหาในการประมูลแล้วเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ได้ได้ทำหนังสือเพื่อเชิญบุคคลมาให้ข้อมูลและรายละเอียดในการประชุมกมธ. วันที่ 11 พฤษภาคม เวลา 09.30 น. อาทิ กรมธนารักษ์ , เลขาธิการอีอีซี, กรรมการผู้ดำเนินการเกี่ยวกับการประกวดราคา และยังมีหน่วยงานอื่นๆ อาทิ สตง. เป็นต้น อย่างไรก็ดีในการเชิญดังกล่าวเพื่อสอบถามรายละเอียดและข้อมูลที่เกิดขึ้น ยืนยันว่ากาตรวจสอบของกมธ.ฯ ยึดหลักความถูกต้อง ไม่ใช่ตรวจสอบเพราะสถานการณ์หรือเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองเพื่อทำลายฝ่ายใด ทั้งนี้ยืนยันจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ไม่มีการตั้งธงใดๆ
เมื่อถามถึงการเลื่อนการเซ็นต์สัญญาประมูลท่อส่งน้ำอีอีซี กับ บริษัทวงษ์สยามก่อสร้างจำกัด มองว่ามีนัยใดแอบแฝงหรือไม่ นายไชยา กล่าวว่า ตามการชี้แจงของนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง บอกว่าเพื่อความโปร่งใส และรักษางบประมาณแผ่นดิน พอฟังได้ แต่ในข้อเท็จจริงต้องตรวจสอบอีกครั้ง หากไม่มีประเด็นที่ถูกสังคมตั้งประเด็นสงสัยในความโปร่งใส ทำไมถึงต้องเลื่อนการลงนาม
นายไชยา กล่าวด้วยว่าสำหรับการตรวจสอบรัฐบาลด้านการใช้งบประมาณนั้นยังมีประเด็นที่กมธ.ติดตามต่อเนื่อง คือ การใช้งบกลาง ปี 2564 – 2565 เพื่อแก้ไขปัญหาโควิด-19 โดยที่ผ่านมากมธ.ได้เชิญเจ้าหน้าที่สำนักงบประมาณเข้าชี้แจง แต่ไม่มีความชัดเจนไม่มีเอกสารใด มาแสดงให้ที่ประชุมพิจารณา ทั้งนี้เอกสารเกี่ยวกับการใช้เงินงบกลาง ตามอำนาจของนายกรัฐมนตรีไม่ใช่งบลับและไม่ใช่เงินส่วนตัวของนายกฯ ดังนั้นจึงต้องเปิดเผยและตรวจสอบได้ ดังนั้นในวันที่ 18 พ.ค.กมธ. ทั้งคณะจะเดินทางไปที่สำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อขอเอกสารที่เคยขอไป และพร้อมจะนั่งรอเพื่อให้ได้เอกสารตามที่ขอ
”การแก้ปัญหาโควิดของรัฐบาลทั้งจากการใช้งบกลางและตามพ.ร.ก.กู้เงินมีมูลค่ามหาศาล และทำให้ประเทศเป็นหนี้จำนวนมหาศาล แต่ผลสัมฤทธิ์ของการแก้ปัญหาที่ผ่านมาพบไม่สามารถแก้ไขได้ อาทิ การใช้งบประมาณเพื่อจัดซื้อยาฟาวิพิราเวียร์ ที่กระทรวงสาธารณสุขเคยชี้แจงว่าไม่ขาด มีในสต๊อก เดือนประมาณ 20 ล้านเม็ด แต่ข้อเท็จจริงพบว่าชาวบ้านที่ป่วยด้วยโรคโควิด-19 แพทย์ไม่จ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ให้ ทำให้ชาวบ้านต้องซื้อเองที่ร้านขายยา ทั้งที่ยาฟาวิพิราเวียร์เป็นยาที่ต้องใช้คำสั่งของแพทย์ รวมถึงการใช้เงินเพื่อแก้ไขเศรษฐกิจในช่วงโควิด-19 แต่พบว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นไม่ดีขึ้น”นายไชยา กล่าว
นายไชยา กล่าวต่อว่า การใช้เงินงบประมาณของรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาโควิด และปัญหาเศรษฐกิจจะเป็นหนึ่งในประเด็นที่ฝ่ายค้านจะนำไปอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลแน่นอน เพราะต้องการสอบถามถึงการใช้งบประมาณจำนวนมาก เพื่อแก้ไขโรคระบาด แต่ผลสัมฤทธิ์นั้นไม่ดี เช่นเดียวกับการใช้เงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่พบว่าล้มเหลว