แม้เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา 7 พ.ย. “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย-หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย จะออกแถลงการณ์ทางการเมือง ยืนยันจะเดินตามข้อตกลงการเมือง หรือ MOA กับ พรรคประชาชน ทั้งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการเป็นรัฐบาลไม่เกิน 4 เดือน ยุบสภาฯไม่เกิน 31 ม.ค.2569 ผ่านการลงรายละเอียดตามคำแถลงการณ์ 8 ข้อ
อย่างไรก็ตาม แถลงการณ์ดังกล่าวของนายกฯ ก็ไม่ได้ผูกมัดตัวเองว่า หากสุดท้าย ถ้ามีการยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ แล้วจะไม่ยุบสภาฯ ก่อนญัตติซักฟอกมีผลตามกฎหมาย โดยระบุว่า…
“ผมรู้ตัวตลอดเวลา ว่าเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ดังนั้นหากมีการยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ เพื่อประโยชน์ทางการเมือง รัฐบาลย่อมไม่มีทางที่จะมีเสียงสนับสนุนมากกว่า รัฐบาลก็ต้องคิดว่า จะดำเนินการอย่างไร เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ได้อยู่ในข้อตกลงกับพรรคประชาชน แต่ถ้าเป็นการยื่นญัตติเปิดอภิปราย เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาของประเทศร่วมกัน ผมพร้อมที่จะให้ความร่วมมือ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นอภิปรายไม่ไว้วางใจเท่านั้น จัดเวทีประชุม หรือมาพูดคุยหารือกัน ในลักษณะแบบนี้ได้ทั้งนั้น ”

แถลงการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นหลังหลายวันที่ผ่านมา กระสุนตกใส่ “อนุทิน” ชุดใหญ่ หลังออกมาระบุว่า หากโดนฝ่ายค้านยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็อาจยุบสภาฯ ทันที เพราะคงไม่ยอมโดนด่าฟรี อีกทั้ง หากยุบสภาฯหลังเปิดสภาฯ กลางเดือนธ.ค. กับไทม์ไลน์เดิมที่จะยุบสภาฯ คือ 31 ม.ค.2569 มันก็ห่างกันแค่ไม่กี่เดือน จึงไม่น่าจะมีผลอะไร
ทำเอาแวดวงการเมือง ส่งเสียงดังกันยกใหญ่โดยเฉพาะฝ่ายตรงข้าม มีการปั่นกระแสทำนอง “อนุทิน กลัวการถูกตรวจสอบจากฝ่ายค้านตามระบอบประชาธิปไตย จะชิงยุบสภาฯ หนีการซักฟอก” ทำเอา “อนุทิน” เสียขบวนไปพอสมควร
จนสุดท้าย ต้องรีบออกแถลงการณ์เพื่อกลบกระแสวิพากษ์วิจารณ์ พร้อมกับยื่นข้อเสนอทางการเมืองว่า การตรวจสอบรัฐบาล ยังสามารถทำได้ผ่านเวทีการขอเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ซึ่งก็คือตามรัฐธรรมนูญ 152 ที่บัญญัติว่า “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมด เท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร จะเข้าชื่อกันเพื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี โดยไม่มีการลงมติก็ได้”
อันเป็นข้อเสนอของ “อนุทิน” ที่หวังให้แกนนำฝายค้าน ทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน ใช้เวทีดังกล่าว อภิปรายรัฐบาล หรือรัฐมนตรีที่คิดว่ามีข้อมูล จะนำไปอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็เปลี่ยนเวทีเล่นมาเป็นอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ เช่น หากต้องการอภิปรายว่า รัฐบาล-นายกฯ ไม่มีความจริงจังในการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี “สแกมเมอร์” หรือมีข้อมูลว่า คนในพรรคร่วมรัฐบาลมีส่วนเกี่ยวข้องกับ “ทุนสีเทา-ธุรกิจสีเทา” ก็ใช้เวทีอภิปรายดังกล่าว ซัดกันเต็มที่แบบ เวทีซักฟอกกันไปเลย
จะไล่ทุบ “ธรรมนัส พรหมเผ่า” รองนายกฯ และรมว.เกษตรฯ-หัวหน้าพรรคกล้าธรรม ก็เอากันให้เต็มที่
หรือจะอภิปรายว่า นายกฯ ไม่กล้าปราบปรามสแกมเมอร์ ก็ซัดมาเลย มีข้อมูลมีหลักฐานอะไร ก็ใช้เวที 152 ถล่มได้ไม่ยั้ง ที่อาจเปิดให้อภิปราย ซักหลังผ่านพ้นเทศกาลปีใหมไปแล้ว จากนั้นอีกไม่กี่วันพอถึง 31 ม.ค.2569 นายกฯ ก็จะได้ยุบสภาฯ ตามที่เคยลั่นวาจาไว้ ส่วนแกนนำฝ่ายค้าน ทั้งเพื่อไทย-ประชาชน จะเด้งรับหรือไม่ ต้องรอดูต่อไป

ที่ “อนุทิน” ยื่นข้อเสนอ จัดเวทีประชุม หรือมาพูดคุยหารือกัน ฝ่ายค้าน โดยเฉพาะ “เพื่อไทย” ไม่เอาด้วยแน่นอน เพราะเป็นเวทีซึ่งไม่ได้สร้างผลทางการเมืองใด ๆ ให้กับ “เพื่อไทย” และ “จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” หัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ ที่ต้องการแสดงบทบาท-โชว์ลีลา การเป็นผู้นำพรรค ก่อนเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง
ท่าที “เพื่อไทย” ต้องการอภิปรายไม่ไว้วางใจ “อนุทิน” เพื่อ “ชำระแค้น-เอาคืน” กับ “อนุทิน-ภูมิใจไทย” ที่ชิงตั้งรัฐบาลสำเร็จ
ผนวกกับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น เห็นชัดว่า “คู่แข่ง-คู่ปรับ” ของ “พรรคเพื่อไทย” ตัวจริง ไม่ใช่ “พรรคส้ม-พรรคประชาชน” แต่เป็น “พรรคภูมิใจไทย-พรรคสีน้ำเงิน” มากกว่า ที่จะเข้ามาแย่งชิงเก้าอี้ สส. ในระบบเขตเลือกตั้ง โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสาน-กลาง ส่วนการแข่งกับ “พรรคประชาชน” จะไปแข่งกันในระบบบัญชีรายชื่อมากกว่า
ทำให้ “เพื่อไทย” ต้องการซักฟอก “อนุทิน” เพื่อหวังหลายเด้ง ทั้ง ล้างแค้น-เอาคืน-ดิสเครดิต-ล่อเป้าให้มีแผลก่อนเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง
หากจับอาการดู “พรรคเพื่อไทย” ไม่อยากอภิปราย “รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” รองนายกฯและรมว.เกษตรฯ ที่เป็นหัวหน้าพรรคกล้าธรรมตัวจริง เท่าใดนัก
เพราะหากซักฟอก “ธรรมนัส” เรื่อง “สแกมเมอร์-ทุนเทา” ผสมโรงไปกับพรรคประชาชน “ธรรมนัส” อาจฟิวส์ขาด แล้ว “แฉกลับ” พรรคเพื่อไทยกับ “ทักษิณ ชินวัตร” ก็ได้ว่า มีอะไรกับ “เบน สมิธ” ซึ่งช่วงที่ผ่านมา ถูกโยงว่ามีธุรกิจบางอย่างในกัมพูชา แบบลึกซึ้งหรือไม่ หลังก่อนหน้านี้มีภาพ “ทักษิณ” นั่งคุยกับ “เบน สมิธ” ปรากฏในโลกออนไลน์
ผนวกกับ “พรรคเพื่อไทย” แม้จะเจ็บแค้น “ธรรมนัส-กล้าธรรม” ที่หักหลัง ไปจับมือกับ “อนุทิน” ตั้งรัฐบาลแข่งกับ “เพื่อไทย” แต่ “เพื่อไทย” ก็ต้องการมีพันธมิตรการเมืองไว้บ้าง เพื่อหวังผลในอนาคต เพราะประเมินแล้ว มีโอกาสที่ “กล้าธรรม” อาจได้ สส.ขั้นต่ำก็ 30 เสียง และอาจแตะไปถึง 40-45 เสียงก็ได้ ทำให้วันข้างหน้า หากเกิดอะไรขึ้น ก็เป็นรัฐบาลร่วมกันได้ “เพื่อไทย” ที่เหลือพันธมิตรการเมืองน้อยลงทุกที เลยไม่ค่อยแข็งขัน ในการที่จะร่วมมือกับพรรคประชาชน เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ “ธรรมนัส”
ขณะที่ “พรรคประชาชน” เอง ก็ไม่ค่อยอยากอภิปรายไม่ไว้วางใจ “อนุทิน” มากเท่ากับ “พรรคเพื่อไทย” เพราะเกรงว่า หากร่วมลงชื่อซักฟอก “อนุทิน” ยังไงนายกฯต้องชิงยุบสภาฯก่อนแน่นอน เพราะ สส.พรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาชน รวมกัน 2 พรรค ก็เกินกึ่งหนึ่งแล้ว ทำให้หากเปิดอภิปรายฯ ตัว “อนุทิน” ก็จะกลายเป็นนายกฯ ที่จะได้เสียงโหวตไว้วางใจไม่เกินกึ่งหนึ่งคนแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่ “อนุทิน” คงไม่ยอมแน่นอน
และเมื่อ “อนุทิน” ชิงยุบสภาฯ ก็ทำให้ “ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ” อาจไปไม่ถึงวาระสาม หรือต่อให้ไปถึงการโหวตวาระสาม “อนุทิน-พรรคภูมิใจไทย” ก็อาจประสานให้ “สว.สีน้ำเงิน” คว่ำร่างแกไข รธน. กลางที่ประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อเอาคืน “พรรคประชาชน” ที่ซักฟอกตนเอง อันจะทำให้ “หมุดหมาย” ของ “พรรคประชาชน” ที่ต้องการแก้ไข รธน.เปิดทางให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) มายกร่าง รธน.ฉบับใหม่ ได้ประกาศก่อนการเลือกตั้ง จะไม่สำเร็จ
ท่าทีของ “พรรคประชาชน” จึงเน้นต้องการซักฟอก “ธรรมนัส” เพียงคนเดียว ยังไปไม่ถึง “อนุทิน”
อย่างไรก็ตาม หาก “พรรคเพื่อไทย” เอาด้วยกับการซักฟอก “ธรรมนัส” โดยมี สส.พรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ “ธรรมนัส” ก็จะเป็นการ บีบ ให้ “ธรรมนัส” อาจต้อง “ชิงลาออก” ก่อนฝ่ายค้านยื่นซักฟอก เพราะด้วยการเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย หากพรรคประชาชนกับพรรคเพื่อไทย ร่วมกันลงชื่อซักฟอก “ธรรมนัส” ก็ทำให้ “ธรรมนัส” จะได้เสียงไว้วางใจไม่เกินกึ่งหนึ่งของจำนวน สส. ในสภาฯ ก็อาจกลายเป็นรัฐมนตรีที่ได้เสียงไว้วางใจไม่เกินกึ่งหนึ่ง จะกลายเป็น “ตราบาปทางการเมือง”
หรือไม่ก็ไปขอให้ “อนุทิน” ชิงยุบสภาฯ ไปเลย เพื่อให้ตัวเอง ยังเป็นรองนายกฯ และรมว.เกษตรฯ ในช่วงรักษาการอีกร่วม ๆ 4-5 เดือน แต่คำถามคือ “อนุทิน” จะเอาด้วยหรือไม่
ทำให้สถานการณ์หากมีการเปิดซักฟอก คนที่จะหนัก-เครียดที่สุด ก็คือ “ร.อ.ธรรมนัส” เพราะจะโดนบีบหลายทาง และต้องคอยวัดใจ “อนุทิน” ว่าจะลอยแพ หรือจะกอดคอไปด้วยกัน

จึงไม่แปลกที่จู่ ๆ ก็มีคนปล่อยข่าว “ธรรมนัส…ชิงลาออกหนีซักฟอก” ตามรอย “วรภัค ธันยาวงษ์” ที่ลาออกจาก “รมช.คลัง” ก่อนหน้านี้ โดยเป็นข่าวที่ปล่อยออกมาเมื่อเย็นวันศุกร์ที่ 7 พ.ย.ที่ผ่านมา จน “ธรรมนัส” ต้องรีบออกปฏิเสธกระแสข่าว…ว่า
“จากกรณีที่มีข่าวเกิดขึ้น ว่าผมลาออกจากตำแหน่ง “ไม่จริง” ครับ โดยวันนี้จนถึงวันจันทร์ ผมได้เดินทางมาปฏิบัติราชการที่จังหวัดนราธิวาส ยะลา ปัตตานี พัทลุงและตรัง”ผมขอยืนยันว่าผมยังอยู่ในตำแหน่ง“เหมือนเดิมทุกประการและยังคงช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่ครับ
ขอให้พี่น้องประชาชนโปรดใช้วิจารณญาณ เมื่อพบข่าวสารที่ยังไม่มีการยืนยัน และให้ตรวจสอบแหล่งที่มาของข่าวก่อนส่งต่อ เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด สร้างความไม่มั่นคงในสังคม ขอบคุณครับ 🙏🏻”พร้อม #ไม่ว่างมาปั่นทำงานอยู่”
แม้เหลือเวลาอีกร่วมเดือนกว่าสภาฯ จะเปิด ถึงจะมีความชัดเจนเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ระหว่างทาง ก็อาจเกิดสถานการณ์แทรกซ้อนขึ้นได้ จนทำให้การยุบสภาฯ อาจเกิดขึ้นช่วงสิ้นปีหรือกลางเดือนม.ค.ปีหน้า ก่อนไทม์ไลน์เดิม 31 ม.ค. 2569
………………………………………….
คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง
โดย “พระจันทร์เสี้ยว”






































