วันเสาร์, พฤศจิกายน 23, 2024
spot_img
หน้าแรกHighlightหืดขึ้นคอ 7 วันผ่าน!! มติรัฐสภาฉลุย 494 เสียง คลอดกฎหมายตำรวจ
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

หืดขึ้นคอ 7 วันผ่าน!! มติรัฐสภาฉลุย 494 เสียง คลอดกฎหมายตำรวจ

ปิดจ้อบ 7 วันจบ! มติรัฐสภาฉลุย 494 เสียงผ่านพรบ.ตำรวจ เดือดแต่เช้า “สมชาย” ชี้หน้า “ธีรัจชัย”อัดไม่สุภาพ ด้าน ส.ว. โต้กลับไม่รบกับเด็ก วันหลังอย่ามาขอข้อมูล ยกเว้นกม.ปฏิรูปตำรวจกันกระทบโยกย้ายปีนี้ “ก้าวไกล” แฉกมธ. อุ้ม “2เด็กเส้นตั๋วช้าง” เลื่อนตำแหน่ง ด้าน “โรม” ซัดกมธ.วางไข่ทายาทอสูร ขณะที่ “สมชาย” บอกตำรวจขอมา สภาฯอย่าใจดำ

วันที่ 5 ก.ค. ที่รัฐสภา มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ที่มีนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่การประชุม มีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. … วาระที่สอง โดยเป็นการพิจารณา มาตรา 169/1 ต่อจากเมื่อวันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ รองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานคณะกมธ. ชี้แจงว่า สืบเนื่องพล.ต.อ.ปิยะ อุทาโย รองผบ.ตร. ในฐานะกมธ. ได้เสนอเพิ่มข้อความใหม่โดยมีเนื้อที่เกี่ยวข้องกับระยะเวลา เพื่อทำให้การคัดเลือกและแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจที่อยู่ระหว่างการดำเนินการในปัจจุบันให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ซึ่งสมาชิกในที่ประชุมได้ทักท้วงว่ากระบวนการตรากฎหมายอาจไม่ถูกต้องและผิดข้อบังคับ จนต้องสั่งพักการประชุมไปเมื่อคราวที่แล้ว เพื่อให้ทางคณะกมธ.ได้นำกลับไปทบทวนและหารือ บัดนี้ ทางคณะกมธ. มีมติเห็นว่าควรแก้ไขมาตรา 169/1 ใหม่ตามที่พล.ต.อ.ปิยะ เสนอไว้

จากนั้น นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ท้วงติงว่า การเสนอใหม่ครั้งนี้ฝ่าฝืนข้อบังคับการประชุมร่วมรัฐสภา ข้อที่ 96 อาจทำให้กระบวนการตรากฎหมายคาดเคลื่อน เพราะข้อบังคับดังกล่าวให้แก้ไขเฉพาะสิ่งที่คณะกมธ. รายงานมา ข้อบังคับที่ระบุตอนท้ายว่า “เว้นแต่ที่ประชุมจะลงมติเป็นอย่างอื่น” นั้น คณะกมธ.จะไปตีความว่ายกเว้นได้ทุกเรื่องนั้น ถือเป็นการตีความเกินควรของกฎหมาย นอกจากนี้ ยังไม่นับรวมกับที่มีข่าวออกว่าการตรากฎหมายเที่ยวนี้ทำเพื่อใครบางคน

นายสมชาย แสวงการ ส.ว. ในฐานะรองประธานคณะกมธ. กล่าวว่า การดำเนินการครั้งนี้เป็นไปตามมติของคณะกมธ.วิสามัญ อาศัยข้อบังคับการประชุมร่วมรัฐสภา ข้อที่75 วรรคสอง ซึ่งระบุชัดเจนว่า กมธ.มีสิทธิ์แถลงชี้แจง หรือแก้ไขเพิ่มเติมที่คณะกมธ.พิจารณาแล้วเสร็จ แล้วเสนอต่อที่ประชุมได้ ดังนั้นการพิจารณามาตรา 169/1 คณะกมธ.จึงสามารถแก้ไขได้ตามมติเสียงส่วนใหญ่ของคณะกมธ.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างที่นายสมชายลุกขึ้นชี้แจงได้พาดพิงนายธีรัจชัยว่ามโนข้อบังคับ เพราะทางคณะกมธ.ไม่ได้อาศัยข้อบังคับข้อที่ 96 แต่ใช้ข้อที่ 75 ต่างหาก ทำให้นายธีรัจชัยไม่ยอมและลุกขึ้นประท้วงขอให้นายสมชายถอนคำพูด แต่นายสมชายยืนยันไม่ถอน ถ้าจะให้ถอนก็ต่อเมื่อนายธีรัจชัยยอมถอนคำพูดที่ว่าการออกกฎหมายครั้งนี้เอื้อประโยชน์ใครบางคน พร้อมกับชี้นิ้วมายังนายธีรัจชัย ทำให้เจ้าตัวประท้วงบอกว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่สุภาพ นายสมชายจึงตอบโต้ว่า “ผมไม่กลัวอะไรท่านหรอก อย่ามาขอข้อมูลเลย แอบขอข้อมูลอยู่เรื่อย ผมเป็นผู้ใหญ่ไม่รบกับเด็ก”

ต่อมานายชวน วินิจฉัยว่ากระบวนการที่ผ่านมาไม่ผิด เมื่อสภาฯอนุญาตให้คณะกมธ.กลับไปทบทวน และเมื่อมีมติกมธ.กลับมา ก็สามารถทำได้ อย่างไรก็ตาม นายธีรัจชัยได้พยายามประท้วงต่อนายชวนต่อเนื่อง ว่าทำหน้าที่ไม่เป็นกลาง พยายามปิดปากคนที่ไม่เห็นด้วย ทำให้นายชวน ตอบกลับว่า “ผมให้ท่านพูดมากที่สุด และเห็นว่าเรื่องนี้จบแล้ว คำวินิจฉัยของประธานถือเป็นที่สุด

จากนั้นเวลา 11.20 น. เข้าสู่การอภิปรายมาตรา 169/1 โดย นายอดิศร เพียงเกษ กมธ. อภิปรายว่า ก่อนที่จะถึงช่วงของการแต่งตั้งโยกย้าย ทาง สตช.ต้องรู้ร้อนรู้หนาวตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์แล้วว่าร่างกฎหมายตำรวจจะเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา แล้วจะมาชักร่างกฎหมายเข้าออกแบบนี้ให้เปลืองค่าประชุม กมธ.ทำไม เราแก้ไขกฎหมายเพราะไม่ต้องการให้เกิดตั๋วที่ใหญ่กว่าม้า และเราต้องการให้เกิดการแต่งตั้งที่มีความยุติธรรม เมื่อ 169/1 ไม่มีตำหนิ แล้วจะมาแก้ไขทำไม ตนถามว่าสภาแห่งนี้เป็นเครื่องมือของใครหรอไม่ จะถอนไปเพราะคนใดคนหนึ่งอยู่เบื้องหลัง ก็จะไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ

นายสาธิต วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับร่างกฎหมายนี้ มีคนเสียประโยชน์ แต่จะมีคนได้ประโยชน์ด้วย ต้องพูดให้หมด อะไรคือความระหว่างบรรทัด ถ้าเรายอมให้กมธ.แก้ไขรายงานที่พิจารณาเสร็จแล้ว โดยไม่ยอมถอนร่างกลับไปแก้ไข จะกลายเป็นบรรทัดฐานนิติบัญญัติ ตนเป็นห่วงทั้งความไม่ปกติของข้อเสนอ และเป็นห่วงกระบวนการนิติบัญญัติที่เกิดขึ้น ถ้าเราเดินไปตามปกติ เรื่องนี้ก็ไม่เกิดขึ้น ว่าจะคง 169/1 หรือตัด 169/1 ทิ้ง เพื่อไม่เป็นการโยนความรับผิดชอบให้รัฐสภา เพื่อไม่ให้กระบวนการนิติบัญญัติต้องด่างพร้อย

ด้าน นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า มาตรา 169/1 ต้องบอกว่าเป็นมาตราที่เดิมจะต้องอ่านคู่กับมาตรา 69 ซึ่งมาตรา 169/1 สาระสำคัญคือการเขียนล็อกเอาไว้เลยว่าตำแหน่งต่างๆนั้นจะต้องเป็นกี่ปี โดยวางกรอบระยะเวลาไม่เกิน 5ปี นับแต่พ.ร.บ.นี้ประกาศใช้ ประเด็นสำคัญคือกมธ.ฯ รวมถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ทราบอยู่แล้วว่ากฎเกณฑ์ในการโยกย้ายตำแหน่ง คุณสมบัติการดำรงตำแหน่งต่างๆนั้น มีลักษณะประมาณใด ท่านรู้อยู่แล้วว่ากฎเกณฑ์กำลังจะเปลี่ยนไป แต่สิ่งที่กมธ.ฯทำคือทำโผตำรวจ ในลักษณะที่ต่างกัน โดยไม่ได้คำนึงถึงผลที่จะเกิดขึ้น ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีปัญหา เราพิจารณากฎหมายฉบับนี้ได้ด้วยดี หลายเรื่องตนและพรรคก้าวไกล ไม่เห็นด้วยเลย แต่ก็ดีใจอยู่บ้างที่ในมาตรา 69 สุดท้ายมีการกำหนดปีเอาไว้อย่างชัดเจน อย่างน้อยที่สุดอาจจะป้องกัน คนที่จะได้รับประเภท”ตั๋วช้าง” เข้ามาดำรงตำแหน่งข้ามหัวคนอื่นได้

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า เมื่อพิจารณามาถึงตรงนี้อยู่ๆก็เสนอกัน ซึ่งการเสนอแบบนี้ ตนคิดว่าเป็นการเสนอที่ผิด ถ้าเรายืนยัน่วาทำกันแบบนี้ได้ ต่อไปนี้กฎหมายทุกฉบับก็เปลี่ยนกันหน้างานได้ ทั้งที่ในความเป็นจริง มาตรา 169/1 เราควรตัดทิ้งด้วยซ้ำไป เพราะมาตรา 69 ล็อกไว้อย่างชัดเจนว่าปีของการดำรงตำแหน่งต้องเป็นเท่าไหร่ เช่น คนที่จะขึ้นเป็นรองผบ.ตร.จะต้องเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร.มาแล้ว 1 ปี คนที่จะขึ้นเป็นผู้ช่วยผบ.ตร. จะต้อเป็นผู้บัญชาการ มาแล้ว 1 ปี อันนี้คือสิ่งที่เขียนล็อกเอาไว้ ซึ่งจะแตกต่างจากกฎ กตร.เดิม ในลักษณะที่สามารถยกเว้นได้ ถงแม้เนื้อหาสาระจะเขียนเหมือนกัน แต่กฎกตร.สามารถยกเว้นหลักเกณฑ์ตรงนี้ได้ และสิ่งที่แตกต่างจากเดิมคือคนที่ขึ้นขึ้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร.และรองผบ.ตร.จะต้องมีอาวุโส 100 เปอร์เซนต์ หมายความว่าตำแหน่งว่างเท่าไหร่ก็คัดจากคนที่อาวุโสเท่านั้น ซึ่งจะไม่มีกรณีข้ามหัวคนอื่นเกิดขึ้น

“สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีปัญหามาโดยตลอด และนำไปสู่การมี ตั๋วช้างและตั๋วตำรวจต่างๆมากมาย ผมได้อภิปรายไปแล้วว่ามีตำรวจ 2 พันกว่าคน ที่ได้รับตั๋วและบางส่วนได้รับตั๋วช้าง สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบกับคนไม่กี่คนที่ถูกข้ามหัว แต่ทำให้ความเชื่อต่อระบบคุณธรรมของวงการตำรวจพังทลายลง และวิธีการแบบนี้ไม่ได้กระทบกับตำรวจที่อยู่ในตำแหน่ง แต่กระทบกับครอบครัวของเขา ซึ่งอาจจะเกี่ยวพันกับคนนับล้าน วันนี้ผมเชื่อว่าคนที่นั่งอยู่ในแห่งนี้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เรากำลังจะอนุมัติให้เกิดตั๋วช้างอีกรอบ ท่านกมธ.โดยเฉพาะท่านที่มาจาก สตช.ท่านรู้ดีว่ากำลังช่วยใคร สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนี้ไม่ใช่แค่การวางตัวคนที่จะไปเป็นรองผบ.ตร.เท่านั้น แต่ผมได้ยินมาว่าลำดับท้ายๆ กำลังจะได้รับสิทธิในการข้ามหัวคนอื่น ขึ้นมาเป็นรองผบ.ตร. แล้วปีถัดไปก็จะเป็น ผบ.ตร. และเหตุผลที่กมธ.ฯต้องขอ180 วันในการชะลอกฎหมายที่กำลังจะผ่านสภาฯออกไปก็เพื่อที่จะได้วางไข่ วางทายาทอสูร ตั้งแต่รองผบ.ตร.ไปจนถึงตำรวจระดับชั้นที่น้อยที่สุด ซึ่งก็คือช่วงเดือนเมษายน มากไปกว่านั้นท่านอ้างถึงการโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรมที่เขาอาจจะได้กลับมา เอาคนที่เสียหายจากการตัดสินใจของท่านมาเป็นเงื่อนไข ในการที่จะให้ตั๋วตำรวจกับแค่บางคน ซึ่งความจริงแค่ใช้กฎกตร.กับมาตรา 170 ก็ช่วยตำรวจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมได้แล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เนื้อหาแบบที่กมธ.เพิ่งเสนอปรับแก้ใหม่เลย พูดกันตรงๆ พูดด้วยความจริงท่านก็แค่ใช้โอกาสนี้ช่วยตำรวจบางคนเท่านั้น นี่คือสิ่งที่สภาฯกำลังยอมให้เกิดระบบตั๋วเกิดขึ้นในวงการตำรวจ เป็นระบบที่ใช้ไม่ได้ ดังนั้นเราต้องหยุดยั้งระบบแบบนี้ จะปล่อยให้ตั๋วช้าง ตั๋วม้า ตั๋วแมว ตั๋วนก ตั๋วต่อ ตั๋วโต้ง ตั๋วอะไรก็แล้วแต่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปไม่ได้”นายรังสิมันต์ กล่าว

พ.ต.ต.ชวลิต เลาหอุดมพันธ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ระหว่างที่คณะกมธ.พิจารณาร่างพ.ร.บ.นี้ ทางตำรวจได้ทำข้อท้วงติงมาหลายเรื่อง แต่ตนไม่เห็นด้วย และเห็นว่าเป็นกระบวนการเคลื่อนไหวเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตำรวจทั้งประเทศกำลังจับตามองบุคคลเจ้าประจำ ที่ได้ตั๋วช้างช่วยมาตลอด เช่น ผู้บัญชาการสอบสวนกลางคนปัจจุบัน และผู้ช่วยผบ.ตร.คนหนึ่งในขณะนี้ ซึ่งเขาจะครบเกณฑ์หนึ่งปีที่สามารถเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นได้

พ.ต.ต.ชวลิต กล่าวต่อว่า การขึ้นตำแหน่งรองผบ.ตร. และผู้ช่วยผบ.ตร. ถ้าเทียบเกณฑ์เก่ากับกฎหมายใหม่จะเหมือนกัน ไม่มีอะไรแตกต่าง แต่ถ้าไปดูในมาตรา 74 จะเห็นว่าการเลื่อนต้องเป็นไปตามเรียงคิว ตามหลักอาวุโส 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสองคนข้างต้นกล่าวถึง ขณะนี้อยู่ในลำดับอาวุโสท้ายแถว เพราะเขาใช้ตั๋วช้างยกเว้นหลักเกณฑ์มาหลายรอบ ถ้าบังคับใช้กฎหมายใหม่ในรอบนี้ คนจะไม่ได้เลื่อนขึ้นแน่นอน แต่ถ้าเลื่อนออกไปอีก 180 วัน ตามที่คณะกมธ.แก้ไข สองคนดังกล่าวจะสามารถเลื่อนขึ้นได้ ดังนั้น ถ้าที่ประชุมรัฐสภามีมติผ่านเรื่องนี้ ผู้ช่วยผบ.ตร.ตั๋วช้างคนดังกล่าว ปีนี้จะได้เป็นรองผบ.ตร. และในปีหน้าก็จะสามารถขึ้นเป็นผบ.ตร.ได้ ถามว่าเขาจะเป็นผู้นำองค์กรที่ตำรวจทั้งประเทศยอมรับได้อย่างไร จึงขอเสนอให้สมาชิกลงมติไม่เห็นด้วยกับที่กมธ.ขอแก้ไขในมาตรา 169/1
นายสมชาย แสวงการ ส.ว. ในฐานะรองประธานกมธ. ชี้แจงว่า ตนไม่มีญาติเป็นตำรวจ ดังนั้น การที่บอกว่าเอื้อประโยชน์ให้กลุ่นคนได้ตั๋วช้าง ตั๋วม้า ตั๋วแมว หรือตั๋วอะไร ตนไม่ได้สนใจอะไร เพราะมีทั้งคนได้และคนเสียพอกัน แต่สภาต้องออกกฎหมายแล้วต้องใช้ได้ อย่างไรก็ตาม มีตำรวจมาข้อร้องว่าเกิดปัญหาตำรวจสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ย้ายกลับลำบากถ้ากฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ทันที ดังนั้น สภาฯจะใจจืดใจดำไม่ให้หรือ เพียงแค่ 180 วัน

จากนั้นเวลา 12.55 น. ที่ประชุมลงมติ ผลปรากฏว่าเสียงส่วนใหญ่เห็นด้วย 344 ต่อ 181 งดออกเสียง 50 ไม่ออกเสียง 1 เสียง เป็นอันว่าที่ประชุมเห็นด้วยกับคณะกมธ. เพิ่มข้อความขึ้นใหม่ ในมาตรา 169/1

จากนั้นเวลา 13.30 น. หลังจากที่ประชุมรัฐสภา พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. … ครบทั้ง 172 มาตราในวาระ 2 แล้ว ได้ลงมติในวาระ 3 โดยที่ประชุมมีมติเห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ. ตำรวจฯ ด้วยคะแนน 494 ไม่เห็นด้วย 40 งดออกเสียง 4 และไม่ลงคะแนน 1 เสียง เป็นอันว่าที่ประชุมรัฐสภาเห็นชอบกับร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ รวมทั้งเห็นชอบกับข้อสังเกตของกมธ. ด้วย

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img