วันเสาร์, พฤศจิกายน 23, 2024
spot_img
หน้าแรกHighlightพลิกเกมสู้ส.ส.เขตให้เลือก“เพื่อไทย” บัญชีรายชื่อเลือก“ครอบครัวเพื่อไทย”
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

พลิกเกมสู้ส.ส.เขตให้เลือก“เพื่อไทย” บัญชีรายชื่อเลือก“ครอบครัวเพื่อไทย”

“เพื่อไทย” ประนามรัฐบาลกลับลำดันสูตร 500 หาร ทำรัฐสภาอัปยศดิ้นหาทางรอดเลือกตั้งรอบหน้า เตรียมตั้ง “พรรคครอบครัวเพื่อไทย” แก้เกมเน้นส่งส.ส.บัญชีรายชื่อ ส่วนเขตให้เลือก “เพื่อไทย”

วันที่ 7 ก.ค.65 ที่รัฐสภา ส.ส.พรรคเพื่อไทย นำโดยนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา และเลขาธิการพรรค และนายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม และประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) แถลงกรณีที่ประชุมร่วมรัฐสภา มีมติเสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 23 ของร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ตามกรรมาธิการ (กมธ.) เสียงข้างน้อย ที่ให้ใช้สูตรการคำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อ แบบจัดสรรปันส่วนผสมโดยเอา 500 หาร

โดย นพ.ชลน่าน กล่าวว่า การคำนวณแบบนี้ถูกนำมาใช้เมื่อการเลือกตั้งปี 62 ระบบนี้เป็นสร้างให้เกิดภาพจริงทางการเมืองในปัจจุบันคือมีส.ส.ปัดเศษ มีรัฐบาลผสม 20 กว่าพรรค การทำงานในสภาไม่เป็นไปตามกลไกรัฐธรรมนูญ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จนได้รับฉายาว่าเป็นสภาที่ขับเคลื่อนด้วยกล้วยหรือสภาแจกกล้วย ทั้งนี้ สิ่งที่รัฐสภาได้ดำเนินการก่อนหน้านี้ในชั้นกรรมาธิการ (กมธ.) คือมีมติแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตราที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง โดยเฉพาะระบบเลือกตั้งให้เป็นคู่ขนานเสียงข้างมาก คือ มีบัตร 2 ใบ ซึ่งถูกกำหนดไว้อย่างเรียบร้อยในร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เสนอ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีนายกรัฐมนตรีลงนามส่งผ่านมายังสภา ซึ่งสภาพิจารณารับหลักการวาระแรกจนเข้าสู่การพิจารณาในชั้นกมธ. แต่เมื่อผ่านชั้นกมธ. ก่อนเข้าสู่การพิจารณาวาระ 2 คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ยังมีมติเห็นชอบตามที่กมธ.พิจารณา คือไม่มีการแก้ไข แต่ปรากฎว่าเมื่อเข้าสู่การพิจารณาวาระ 2 ของที่ประชุมร่วมรัฐสภา ได้เกิดปรากฏการณ์เป็นกระแสรายงานข่าวจากสื่อมวลชนว่า มีการสั่งการจากทำเนียบรัฐบาล ให้หาร 500 ซึ่งข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรตนไม่ทราบ แต่ทุกอย่างได้แปรเปลี่ยน พิสูจน์ได้จากการลงมติวานนี้ (6 ก.ค.)

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ระบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ แบบคู่ขนานเสียงข้างมาก จะถูกแก้เป็นจัดสรรปันส่วนผสมแบบบัตร 2 ใบ แน่นอนว่าขัดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ แต่คนมีอำนาจต้องการว่าจะเอาแบบนี้ เกิดขึ้นจากการแลกเปลี่ยนในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อเป็นหลักประกันว่า 30 เสียง จากพรรคการเมืองกลุ่มหนึ่งจะช่วยโหวตให้ แต่พรรคการเมืองนี้จะได้ประโยชน์จากคะแนนจัดสรรโดยหาร 500 ถ้าเป็นแบบนั้นจริง จะเป็นความอัปยศที่สุดในรัฐสภาไทย ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนที่มีการสั่งยกเลิกทำลายกฎหมายตัวเอง จึงเป็นการทำลายระบบรัฐสภาย่างอัปยศ ตนจึงขอประนามสิ่งที่เกิดขึ้น

“การทำให้ตัวเองอยู่รอดโดยหวังเพียงแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ปรากฏการณ์แบบนี้มีมาตลอด เหมือนผู้มีอำนาจท่านนี้ถูกบีบคออยู่ตลอด เมื่อพรรคร่วมต้องการอะไรถ้าขอแล้วไม่ให้จะถอนตัว นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในสภาวานนี้ (6 ก.ค.) ถือเป็นพฤติกรรมจงใจฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง มีผู้สั่งการ มีพรรคการเมืองที่รับคำสั่ง มีสมาชิกรัฐสภาที่รับคำสั่ง ซึ่งเราจะดำเนินการตามกฎมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ซึ่งหลังจากร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่านวาระ 3 จะถูกส่งไปศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกา และกกต. ในส่วนของพรรคเพื่อไทยยังจะใช้กลไกผ่านคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีจงใจฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย และฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรงด้วย”นพ.ชลน่าน กล่าว และว่าพรรคเพื่อไทยจะนำเรื่องดังกล่าวมาเป็นส่วนหนึ่งของการอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย แต่ถ้าเห็นว่าเป็นการครอบงำที่เกิดจากบุคคลภายนอกที่ไม่ใช่สมาชิกพรรค ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม สั่งการให้กระทำตามที่เขาต้องการ และพรรคการเมืองนั้นยินยอมให้ครอบงำ จะต้องยื่นกกต.ให้ตรวจสอบ

เมื่อถามว่า กรณีที่พรรคก้าวไกลโหวตไม่เห็นด้วยกับกมธ.เสียงข้างมากในการใช้สูตร 100 หาร เพื่อคำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ตนเข้าใจต่อการโหวตของพรรคก้าวไกลในรอบแรก เพราะพรรคก้าวไกลมีคนเสนอการแก้ไขการแปรญัตติสูตรหาร 100 ในการคำนวณส.ส.บัญชีราชื่ออีกรูปแบบหนึ่ง จึงเกิดภาพอีหลักอีเหลื่อว่าจะโหวตไปทางใด แม้ว่าใจจะเอาหาร 100 แต่แตกต่างกันในวิธีคำนวณ เราเองก็ลำบากใจแทนพรรคก้าวไกล

เมื่อถามว่า หากระบบเลือกตั้งเป็นเช่นนี้พรรคเพื่อไทยจะใช้วิธีแตกแบงค์พันหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เราไม่แตกแบงค์พัน หากระบบเช่นนี้ผ่านจริง และใช้ระบบจัดสรรปันส่วนผสม พรรคเพื่อไทยไม่ได้กลัว เพราะมีหลายวิธีการ ซึ่งอาจจะมีอีกกลไกลคือมีพรรคการเมืองอีกพรรคหนึ่งที่มุ่งรณรงค์เฉพาะบัญชีรายชื่อ แบบไม่สนใจเขต เช่น การตั้งพรรคครอบครัวเพื่อไทยส่งบุคคลที่เราต้องการใส่ในส.ส.บัญชีรายชื่อให้เต็ม แล้ววางกลไกการรณงค์หาเสียงให้เลือกส.ส.บัญชีรายชื่อย่างเดียว และให้มาเลือกส.ส.เขตของพรรคเพื่อไทย และพรรคเพื่อไทยจะรณรงค์ให้เลือกเฉพาะส.ส.เขต เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน กลไกนี้อาจจะได้ผลที่เขาคิดไม่ถึงเกี่ยวกับการหาร 500 ทั้งนี้ สิ่งที่เราคิดไว้ขึ้นอยู่กับการตอบรับของประชาชน ถ้าประชาชนบอกว่าดี ก็อาจจะเป็นไปได้ โดยเราจะนำผลโพลที่พรรคเพื่อไทยมีคะแนนนำมาเป็นอันดับหนึ่งมาร่วมประเมินการตัดสินใจด้วย แต่การประเมินเชิงลึกต้องประเมินเชิงพื้นที่ระดับเขต ว่าหากจะเอา 15 ล้านเสียง แต่ละเขตจะต้องได้ไม่ต่ำว่า 35,000 เสียง ถ้าทำได้ก็จะเป็นสิ่งที่น่าสนใจ โดยภายในพรรคยังไม่ได้คุยถึงกลไกลนี้อย่างเป็นทางการ ตนเล่าให้ฟังแบบเปิดไต๋เผื่อเขาจะกลับตัวทัน ส่วนบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทยอาจจะต้องโอนมาอยู่ในบัญชีรายชื่อของพรรคครอบครัวเพื่อไทย ซึ่งบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทยอาจจะเป็นพวกแถวสอง

เมื่อถามว่า สมาชิกพรรคในพรรคเพื่อไทยมีแนวคิดสนับสนุนให้ตั้งพรรคครอบครัวเพื่อไทยหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ส.ส.ส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้น ทั้งนี้หากนำผลการเลือกตั้งเมื่อปี 62 มาพิจารณา พรรคที่ได้ประโยชน์จากระบบการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นคือพรรคก้าวไกล ที่อาจจะได้ส.ส.บัญชีรายชื่อเกิน 50 คน ส่วนความคาดหวังของพรรคเล็กที่จะได้ส.ส.บัญชีรายชื่อจากระบบนี้อาจจะไม่เป็นไปตามที่นึกไว้ก็ได้ เพราะจำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อลดจาก 150 เหลือ 100 คน สุดท้ายต้องมีการทอนส.ส.บัญชีรายชื่อ ลงให้เหลือ 100 คนเฉลี่ยจากทุกพรรคการเมือง ไม่ใช่ว่าจะได้คะแนน 7 หมื่นเสียงแล้วจะได้ส.ส.บัญชีรายชื่อ

จากนั้นนายประเสริฐ อ่านแถลงการณ์พรรคเพื่อไทยข้อความว่า มติรัฐสภาขัดต่อรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พ.ศ. 2564 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 91 ที่ปลี่ยนแปลงระบบการเลือกตั้ง ส.ส.จากระบบจัดสรรปันส่วนผสมมาเป็นระบบคู่ขนาน ซึ่งเป็นระบบเดียวกับที่ใช้ตามรัฐธรรมนูญ 40 และรัฐธรรมนูญ 50 ที่แก้ไขเพิ่มเติมปี 54 การเลือกตั้งตามระบบใหม่นี้แยกการเลือกตั้งส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง และแบบบัญชีรายชื่อออกจากกัน ใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ แบบละ 1 ใบ การคํานวณจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมือง เป็นสัดส่วนที่สัมพันธ์กันโดยตรงกับคะแนนรวมในแบบบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองนั้นได้รับ ไม่มีการนําจำนวน ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งที่พรรคการเมืองได้รับมาพิจารณาว่าผลสุดท้ายพรรค การเมืองนั้นจะได้ส.ส.บัญชีรายชื่อเท่าใด ร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ทั้ง 4 ร่าง รวมทั้งร่างของครม. ซึ่งเป็นร่างหลักในการพิจารณาในการแก้ไขมาตรา 128 แห่งพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งฯ ต่างก็เสนอวิธีการคํานวณ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อใ ห้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมเหมือนกัน คือให้นําผลคะแนนรวมที่ทุกพรรคการเมืองได้รับ จากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อหารด้วย 100 แล้วนําผลลัพธ์ไปหารคะแนนที่แต่ละพรรคการเมืองได้รับ ผลคือจำนวนส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมือง โดยไม่คํานึงว่าพรรคการเมืองจะได้ส.ส.แบ่งเขตเท่าใด ซึ่งคณะกมธ.ที่รัฐสภาตั้งก็เห็นชอบกับร่างที่แก้ไข มาตรา 128 โดยไม่มีการแก้ไข

นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า สองวันนี้มีข่าวมาตลอดว่ามีผู้มีอำนาจในรัฐบาลต้องการให้เปลี่ยนแปลงระบบการเลือกตั้งกลับไปเป็นระบบจัดสรรปันส่วนผสมเพื่อสืบทอดอำนาจของตนต่อไป โดยไม่คำนึงถึงกฎหมายและข้อบังคับของรัฐสภา คำนึงแต่ความอยู่รอดและผลประโยชน์ทางการเมืองของตน วันนี้สมาชิกรัฐสภาจำนวนหนึ่ง ซึ่งอยู่ในซีกรัฐบาลได้ใช้เสียงข้างมากจงใจกระทำการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 91 โดยลงมติแก้ไขมาตรา 128 ตามกมธ.เสียงข้างน้อย เพื่อนําระบบจัดสรรปันส่วนผสมที่ถูกยกเลิกโดยรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2564 กลับมาใช้ การแก้ไขเช่นนี้ขัดมาตรา 91 แห่งรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมพ.ศ. 2564 และข้อบังคับการประชุมรัฐสภาอย่างชัดเจน พรรคเพื่อไทยจึงขอแถลงให้ระชาชนได้ทราบถึงการใช้เสียงข้างมากกระทำการตามอำเภอใจฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญเพื่อสืบทอดอำนาจ และพรรคเพื่อไทยจะดำเนินการเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยประเด็นร่างมาตรา 128 ขัดรัฐธรรมนูญต่อไป และจะดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อหยุดยั้งความเลวร้ายเหล่านี้

“เหตุการณ์เมื่อวานนี้เห็นได้ชัดว่ามีความพยายามที่จะกระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญ ชี้ให้เห็นว่าพล.อ.ประยุทธ์ ต้องการสืบทอดอำนาจต่อโดยใช้เครื่องมือระบบการเลือกตั้ง คงเพราะไม่ได้รับความรักจากประชาชน จึงต้องใช้วิธีการนี้ แม้จะขัดกับหลักการก็ต้องฝืน โดยฝ่ายบริหารใช้อำนาจก้าวก่ายฝ่ายนิติบัญญัติ และหลังจากการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวพ้นจากรัฐสภาไปแล้วทางพรรคเพื่อไทยจะยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยประเด็นนี้ต่อไป” นายประเสริฐ กล่าว

ขณะที่ นายสุทิน กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพิสูจน์แล้วว่า คนที่ทำความชั่วให้ระบอบประชาธิปไตยยังไม่หยุดยั้ง และไม่เหนือความคาดหมายว่าจะทำได้ขนาดนี้ ซึ่งตนเชื่อว่า จะทำความชั่วร้ายได้มากกว่านี้อีก จึงขอให้ประชาชนติดตาม โดยเฉพาะการใช้ 500 หาร เป็นความเลวร้ายที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น และเชื่อว่าจะมีการซ่อนกลไกร้ายทำความชั่วมากกว่านี้ พล.อ.ประยุทธ์มีความคิดวางกลเกมให้เจอทางตัน หากกฎหมายฉบับนี้เดินไปถึงทางตัน รัฐบาลก็จะกำหนดกติกา กฏเกณฑ์ระบบการเลือกตั้งได้ ตนคิดว่าการหาร 500 เป็นชัยชนะที่น่าละอาย

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img