วันอังคาร, เมษายน 30, 2024
หน้าแรกHighlight“ภาวะนอนกรน-หยุดหายใจขณะหลับ” เสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดสมอง 
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“ภาวะนอนกรน-หยุดหายใจขณะหลับ” เสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดสมอง 

“ปัญหาการนอน” สามารถส่งผลให้เกิดโรคภัยต่างๆ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และโรคซึมเศร้า รวมถึงยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุและคุณภาพการใช้ชีวิตตามปกติอีกด้วย

นพ.เขษม์ชัย เสือวรรณศรี รองประธานอาวุโสปฏิบัติการด้านการแพทย์ และแพทย์ชำนาญการด้านประสาทวิทยา โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เปิดเผยว่า กลุ่มที่มีความเสี่ยงและควรมาปรึกษาแพทย์เป็นอันดับต้นๆ คือ

1.กลุ่มที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคไตวาย โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคความจำเสื่อม โรคอ้วน หรือมีดัชนีมวลกาย (BMI) เกิน 30 ขึ้นไป ซึ่งคนที่มีโรคประจำตัวดังกล่าว จะมีโอกาสสูงถึง 50% ที่จะมีภาวะนอนกรนหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย 

2.กลุ่มที่มีภาวะนอนกรนหยุดหายใจขณะหลับ

3.กลุ่มที่มีอาการง่วงนอนสูงในระหว่างวัน 

4.กลุ่มที่มีอาการนอนไม่หลับ เช่น สัปดาห์หนึ่งเกิน 3 วัน นานติดต่อกันเกิน 1-3 เดือน ก็ควรมาพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ หรือกลุ่มที่ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้เหมือนเดิม หรือมีภาวะอารมณ์ผิดปกติ หรือภาวะซึมเศร้า

ขณะที่ พญ.เบญจมาศ อินทรโภคา แพทย์ชำนาญการด้านโรคระบบหายใจและเวชศาสตร์การนอนหลับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า ปัญหาการนอนที่พบบ่อยมากที่สุดและมาปรึกษาแพทย์ที่ ‘คลินิกคุณภาพการนอนหลับ’ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ คือ ภาวะนอนกรนหยุดหายใจขณะหลับ รองลงมาคืออาการนอนไม่หลับ โดยเบื้องต้นแพทย์จะทำการประเมินซักถามผู้ป่วย และทำการวินิจฉัยเพื่อหาสาเหตุ

โดยส่วนใหญ่แพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยด้วย เครื่องตรวจการนอนหลับ (Sleep Test) ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นการตรวจที่เป็นมาตรฐาน (Gold Standard) ที่มีความละเอียดแม่นยำมากที่สุด ตรวจในห้องปฏิบัติการตรวจการนอนหลับในโรงพยาบาลเป็นเวลา 1 คืน โดยจะมีเจ้าหน้าที่ดูแลสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดตลอดทั้งคืน ทำให้ได้ผลวิเคราะห์ที่แม่นยำและทราบถึงสาเหตุแท้จริงของปัญหาการนอน ซึ่งจะทำให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

การตรวจ Sleep Test ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วย 3 ส่วนหลักๆ คือ

1.ตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง คลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อลูกตา ใต้คาง และขา คลื่นไฟฟ้าหัวใจ ทำให้ทราบว่าหลับตื้นหรือหลับลึก วงจรการหลับเป็นปกติหรือไม่ หรือการนอนมีคุณภาพที่ดีเพียงพอหรือไม่

2.ตรวจวัดลมหายใจ ว่าหายใจปกติหรือไม่ หรือหายใจแผ่ว หรือมีการหยุดหายใจขณะหลับ 

3.ตรวจวัดระดับออกซิเจนในเลือด ว่าค่าออกซิเจนอยู่ในระดับที่เหมาะสมหรือไม่ บางคนหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งกรณีที่มีค่าออกซิเจนต่ำลงมาก จะมีความเสี่ยงทำให้อวัยวะในร่างกายไม่ทำงาน และเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

ปัจจุบัน การรักษาภาวะนอนกรนหยุดหายใจขณะหลับ มากกว่า 95% แพทย์ทั่วโลกนิยมรักษาด้วยเครื่องอัดอากาศแรงดันบวกเพื่อขยายช่องทางเดินหายใจ ซีแพพ (Continuous Positive Airway Pressure : CPAP) ซึ่งทางการแพทย์ถือว่าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ด้วยหลักการปล่อยให้แรงดันอากาศเปิดช่องคอที่แฟบให้เปิดขยาย ทำให้ไม่เกิดการอุดกั้นเวลาหายใจขณะที่นอนหลับ โดยไม่ต้องผ่าตัด

วิธีนี้สามารถรักษาภาวะนอนกรน และภาวะนอนกรนหยุดหายใจขณะหลับได้ทุกระดับอาการ โดยข้อดีคือ ผู้ป่วยไม่นอนกรน ไม่หยุดหายใจขณะหลับ ส่งผลให้วงจรการนอนกลับมาเป็นปกติที่สำคัญ การรักษาด้วยวิธี CPAP ยังเป็นการป้องกันโรคที่ยังไม่เกิดขึ้นได้อีกด้วย เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น  

พญ.ดารกุล พรศรีนิยม แพทย์ชำนาญการด้านประสาทวิทยาและเวชศาสตร์การนอนหลับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์  กล่าวถึงข้อมูลสถิติที่น่าสนใจ รายงานว่าผู้ที่มีภาวะนอนกรนหยุดหายใจขณะหลับ จะมีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดสมอง เพิ่มสูงขึ้นถึง 3 เท่า ภายในระยะเวลา 10 ปีหากไม่ได้รับการรักษา อีกทั้งยังมีงานวิจัยที่สอดคล้องกัน รายงานว่ากลุ่มที่ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบ หรือโรคหลอดเลือดสมองแตก จะมีโอกาสเกิดภาวะนอนกรนหยุดหายใจขณะหลับสูงถึง 50-90%

ที่สำคัญ ภายในเวลา 10 ปี หากไม่ได้รับการรักษาภาวะนอนกรนหยุดหายใจขณะหลับ จะเพิ่มโอกาสที่จะป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง เนื่องจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1.การที่มีระดับออกซิเจนต่ำเป็นพักๆ ขณะหลับ 2.วงจรการนอนไม่ดี ทำให้คลื่นสมองตื่นบ่อย 3.ระบบหัวใจและหลอดเลือดมีการเปลี่ยนแปลง เนื่องด้วยช่วงที่หยุดหายใจจะเป็นช่วงที่มีความดันโลหิตขึ้นสูง ชีพจรเต้นเร็วขึ้น บางคนมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะร่วมด้วย หัวใจต้องบีบตัวแรงขึ้นเพื่อเพิ่มเลือดไปเลี้ยงสมอง เพื่อช่วยเพิ่มระดับออกซิเจนในสมอง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในลักษณะนี้เกิดขึ้นหลายๆ รอบ ทุกคืน เป็นระยะเวลานาน จึงส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบหัวใจและหลอดเลือด

ภาวะนอนกรนหยุดหายใจขณะหลับจะยิ่งเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น เมื่อมีภาวะอ้วนร่วมด้วย มีอายุที่มากขึ้น รวมถึงหากเป็นผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือน อายุประมาณ 50-55 ปี ก็จะมีภาวะหยุดหายใจเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เพราะในช่วงอายุที่มีประจำเดือน ร่างกายจะมีฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ช่วยทำให้กล้ามเนื้อหลอดลมแข็งแรง แต่พอฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงหรือหมดไป กล้ามเนื้อหลอดลมก็จะแฟบลง ทำให้มีการนอนกรนหยุดหายใจมากขึ้น 

ศ.นพ.ชัยรัตน์ นิรันตรัตน์ แพทย์ชำนาญการด้านหู คอ จมูกและเวชศาสตร์การนอนหลับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวเสริมถึงผู้ที่มีปัญหาการนอนด้วยอาการอื่นๆ อาทิ นอนไม่หลับ นอนกัดฟัน นอนขากระตุก นอนละเมอเดินละเมอพูด โรคลมหลับ ง่วงนอนกลางวันผิดปกติ หรือภาวะนอนไม่หลับในเด็ก บำรุงราษฎร์มีทีมแพทย์ชำนาญการที่ครอบคลุมทุกสาขาที่พร้อมประเมินซักถาม หรือตรวจวินิจฉัยเพื่อหาสาเหตุ และส่งมอบให้แพทย์เฉพาะทางเพื่อการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้เพื่อการรักษาแก้ไขให้ตรงจุดก่อน ซึ่งจะมีการติดตามผลการรักษา แต่หากยังพบปัญหาการนอนอยู่ โดยเฉพาะนอนกรนหยุดหายใจขณะหลับ แพทย์ก็จะทำการรักษาด้วยวิธี CPAP เป็นขั้นตอนของการรักษาต่อไป  

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img