“กมลศักดิ์” จัดหนัก “ศักดิ์สยาม” ตั้งข้อกล่าวหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ –เอื้อประโยชน์พวกพ้องที่ดินเขากระโดง แฉ ด้าน “ก้าวไกล” ลากไส้ใช้ “นายเอ” นอมินีซุกหุ้น พิลึก รับเงินเดือน 9 พันบาท แต่เป็นเจ้าของกิจการ ถือหุ้น 120 ล้าน แฉ อนุมัติงานให้บริษัทตัวเอง 3 เดือน 260 ล้านบาท
วันที่ 19 ก.ค.65 เวลา 15.40 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาฯเพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดการอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 จำนวน 11 คน ต่อมานายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ ส.ส.นราธิวาส พรรคประชาชาติ อภิปรายไม่ไว้วางใจนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ตอกย้ำถึงการครอบครองที่ดินเขากระโดง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ 5,083 ไร่ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ว่าหลังจากการอภิปรายเดือนก.ย.64 ตนติดตามว่าที่ดินเขากระโดง มีการดำเนินการในกระบวนการยุติธรรมเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายเพียงใด แต่ปรากฎว่าการดำเนินการยังไม่สะเด็ดน้ำ เหมือนง้างธนูไม่สุด วันนี้รัฐมนตรีและพวกพ้อง ยังคงทำธุรกิจ และพักอาศัยอยู่ตรงนี้ไม่ได้ออกไปไหน ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.64 รฟท. ซึ่งกำกับดูแลโดยนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม มีหนังสือถึงกรมที่ดิน ให้ทำการเพิกถอนโฉนดที่ดิน ปรากฎว่าวันที่ 27 ก.ค.64 กรมที่ดิน มีหนังสือตอบมาว่า การเพิกถอนโฉนดที่ดิน ทางกรมที่ดินจะดำเนินการได้ต้องมีรูประวางแผนที่ส่งให้กรมที่ดิน พร้อมมีคำถามไปยังรฟท.ว่า ที่ดิน 2 แปลง ซึ่งเป็นภูมิลำเนา 30/2 ม.15 ที่รัฐมนตรีแจ้งอยู่บนที่ดินแปลงนี้ ซึ่งที่ดิน 2 แปลงนี้คณะกรรมการกฤษฎีกาปี 41 เคยวินิจฉัยว่าเป็นที่รฟท. ปี 54 คณะกรรมป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เคยวินิจฉัยให้เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) ก็วินิจฉัยให้รฟท.ฟ้องเพิกถอนเอกสารสิทธิ์
นายกมลศักดิ์ กล่าวต่อว่า กรมที่ดินบอกว่าสามารถเพิกถอนที่ดินเอกสารสิทธิ์ได้ แต่มีกระบวนการที่ต้องให้รฟท.ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ต้องให้ความร่วมมือโดยส่งรูประวางแผนที่ไปให้ ซึ่งรฟท.ส่งไปให้กรมที่ดิน 2 ครั้ง แต่ทั้ง 2 รูประวางที่ส่งไปมีเนื้อที่ไม่ครบ อีกทั้งรูประวางปี 31 กับปี 39 ไม่ตรงกัน ตนไม่ทราบว่ารฟท.ที่รัฐมนตรีกำกับดูแล เจตนาส่งให้กรมที่ดินไม่ครบหรือต้องการให้มีความล่าช้าทางเทคนิคหรือไม่อย่างไร จะได้ให้มีการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ช้ากว่าปกติ โดยกรมที่ดินมีหนังสือวันที่ 12 พ.ย.64 เมื่อรูประวางไม่ตรงกับกรมที่ดิน ก็ขอให้รฟท.จัดส่งผู้แทนไม่เกิน 6 คน เข้าเป็นคณะทำงาน 2 ชุด แต่กลับไม่มีการส่งผู้แทนเข้าเป็นคณะกรรมการ แถมยังไปฟ้องกรมที่ดินต่อศาลปกครองเมื่อเดือนธ.ค.64 ซึ่งการฟ้องต่อศาลปกครองใช้เวลานาน การที่ท่านฟ้องศาลปกครองโดยไม่ส่งคณะกรรมการ 2 ชุด ส่อเจตนาว่าท่านกำลังปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง และพวกพ้องให้นานที่สุดโดยอาศัยช่องว่างของกฎหมาย แต่ท่านอย่าลืมว่ามีประมวลจริยธรรมคุ้มครองอยู่
นายกมลศักดิ์ กล่าวว่า โฉนดที่ดินเลขที่ 3466 และ 3564 อัยการบอกให้เพิกถอนท่านก็ไม่ดำเนินการ จนทุกวันนี้ท่านก็ยังคงใช้ภูมิลำเนาอยู่ที่นั่น และเป็นที่ตั้งของหจก.อีกหลายบริษัทในบริเวณนี้ ถ้าตรวจสอบที่กรมการค้า กระทรวงพาณิชย์ จะพบว่าบริษัทต่างๆเกี่ยวข้องกับท่านทั้งนั้น โดยเฉพาะบริษัท ศ. ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน 3466 ก็ตั้งอยู่ที่นั้น รวมถึงหจก. บ. จากการตรวจสอบพบว่า บริษัท ศ. บริจาคเงินให้พรรคภูมิใจไทย 4.7 ล้านบาท ส่วนหจก. บ. บริจาค 4.8 ล้านบาท นี่คือความเกี่ยวโยงกันระหว่างรัฐมนตรีกับพวกพ้อง เพราะเช่นนี้หรือไม่ท่านจึงไม่ดำเนินการเพิกถอน อีกคดีที่น่าสนใจคือคดีที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาว่าที่ดินของนายเอ จำเลยในคดีที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาปี 61 แต่สังเกตว่าทำไมไม่มีการบังคับคดี พอไปตรวจสอบข้อมูลยิ่งเห็นชัดว่านายเอ มีความสัมพันธ์กับรัฐมนตรี สะท้อนให้เห็นว่ารัฐมนตรีจึงไม่ดำเนินการใดๆกับที่ดินแปลงนี้ ในการฟ้องขับไล่แตกต่างจากคดีอื่นๆ ที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับรัฐมนตรี คดีของนายเอที่ศาลฎีกามีคำพิพากษา ตั้งแต่ปี 61 รัฐมนตรีมารับตำแหน่งปี 62 จนถึงปีนี้ 65 เพิ่งจะตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเมื่อเดือนมิ.ย.65 ก่อนการอภิปรายจึงเหมือนแค่ขยับให้เห็น
“นายเอ สมัยปี 61 ก่อนที่นายศักดิ์สยามจะมาเป็นรัฐมนตรี เคยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของหจก. บ. ใช้ที่อยู่ที่เดียวกันกับรัฐมนตรีในปัจจุบัน ปรากฎว่าวันที่ 26 ม.ค.61 รัฐมนตรีถอนหุ้น ก่อนโอนหุ้นทั้งหมด 119 ล้านบาท ให้กับนายเอ และให้นายเอเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ปัจจุบันหจก.นี้ก็ยังอยู่ที่นี่ แสดงให้เห็นว่ารัฐมนตรีกับจำเลยในคดีที่รฟท.ต้องขยับเป็นพวกเดียวกัน นอกจากนี้ นายเอยังบริจาคเงินให้พรรคภูมิใจไทย 2.7 ล้านบาท และหจก. บ. โอนหุ้นไปให้ บริจาคเงินให้พรรคท่านอีก 4.8 ล้านบาท มาถือว่าเป็นพวกเดียวกันจะให้เข้าใจว่าอย่างไร อีกทั้งตามบัญชีงบดุลปี 60 บริษัท ศ. ได้ยืมเงินจากนายเอ 120 ล้านบาท ปี 61 ยืมอีก 221 ล้านบาท ต่อมาปี 62 บริษัท ศ. ยังกู้ยืมเงินจากนายเอ 143 ล้านบาท ปี 63 ยืมอีก 152 ล้านบาท ผมไม่ได้พูดลอยๆแต่มีเอกสารงบดุลของบริษัท ศ.” นายกมลศักดิ์ กล่าว
นายกมลศักดิ์ กล่าวต่อว่า นายเอคนนี้ตนไปตรวจสอบมาแล้ว ปรากฎว่าก่อนที่รัฐมนตรีจะออกจากหจก. บ. นายเอ มีหลักฐานเพียงว่าเป็นพนักงานของ บริษัท ศ. เท่านั้น เดิมทีเป็นแค่พนักงาน แต่ไม่ทราบว่าร่ำรวยมาจากไหนถึงมีเงินให้บริษัท ศ. ซึ่งกรรมการผู้จัดการคือ นาย อ. นามสกุลเดียวกับรัฐมนตรี สิ่งเหลานี้ตนจึงไม่อยากมองเป็นอย่างอื่น รมว.คมนาคม ที่มีหน้าที่กำกับดูแลรฟท. ต้องทวงสิทธิ์เอาที่ดินของรฟท.คืนโดยเร็ว แต่ทำไมท่านไม่เลือกวิธีที่เร็วที่สุด คือให้กรมที่ดินเพิกถอน แต่กลับใช้วิธีที่ยืดเยื้อที่สุด ซึ่งนายกฯ ปล่อยปละละเลยให้หน่วยงานของรัฐฟ้องร้องค่าเสียหายกันเอง ดังนั้น ขอให้ท่านเลิกใช้แทคติก แต่ขอให้ความจริงใจกับทรัพย์สมบัติของแผ่นดิน โดยท่านต้องแสดงสปิริตให้คนทั้งประเทศได้รับรู้ว่าท่านก็อยู่ในมาตรฐานจริยธรรม ท่านต้องรีบเอาทรัพย์สมบัติของแผ่นดินคืน ปล่อยไว้แบบนี้ยิ่งกว่าที่ท่านเคยกล่าวหาพี่น้องใน 3 จังหวัดว่าต้องการแบ่งแยกดินแดง นี่คือการเอาแผ่นดินของประเทศมาเป็นของตัวเองโดยใช้กฎหมายอย่างแยบยล นายกฯในฐานะผู้นำรัฐบาลจะอ้างว่าไม่เกี่ยวไม่ได้ ทั้งหมดนี้ตนมองได้อย่างเดียวว่าท่านละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ รักษาผลประโยชน์พวกพ้องตัวเองมากกว่าประโยชน์ของประเทศชาติ จึงไม่อาจไว้วางใจรมว.คมนาคม และนายกฯ ให้บริหารราชการแผ่นดินอีกต่อไป
ต่อเวลา 16.42 นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า นายศักดิ์สยาม ปกปิดทรัพย์สินของตัวเองในส่วนที่เป็น ห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.) บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น โดยใช้ลูกจ้างเป็นนอมินี และจงใจปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายเพื่อให้ตนเองมีส่วนได้รับผลประโยชน์จากโครงการต่างๆ ของรัฐ เนื่องจากมีความเชื่อมโยงกับบุรีเจริญฯ ก่อตั้งในปี 2539 โดยมี ตระกูลชิดชอบ ถือหุ้น 80% และที่ตั้งสำนักงานก็คือบ้านของ ศักดิ์สยาม ในขณะนั้น เมื่อมีตำแหน่งทางการเมือง ก็ออกจากการเป็นผู้ถือหุ้น หจก. นี้ทั้งหมด และย้ายสำนักงานไปที่อื่น พอยุค คสช. นายศักดิ์สยาม ก็กลับมาเป็นผู้ถือหุ้นเกือบทั้งหมดของ บุรีเจริญ ในปี 2558 โดยเพิ่มทุนเป็น 120 ล้านบาทและย้ายที่ตั้งสำนักงานมาที่บ้านหลังใหม่ของตัวเอง จนเมื่อปี 2561 ที่มีข่าวการเลือกตั้ง นายศักดิ์สยามก็โอนหุ้นทั้งหมดไปให้ นอมินีในวันรุ่งขึ้นทันที และย้ายที่ตั้งสำนักงานบุรีเจริญออกจากบ้านของตัวเอง ก่อนรับตำแหน่งรัฐมนตรีเพียง 23 วัน จึงขอตั้งคำถามต่อว่า นี่เป็นเพียงการเปลี่ยนชื่อคนถือหุ้นให้ลูกจ้างมาเป็นนอมินี หรือมีการซื้อขายหุ้นจริง เพราะไม่พบหลักฐานว่ามีการชำระเงินค่าหุ้นเลย หากมีการซื้อขายกันจริง ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายต่ำกว่า สูงกว่าราคาทุนที่ 120 ล้านบาท ศักดิ์สยาม หรือ ผู้ถือหุ้นคนใหม่ ก็จำเป็นต้องยื่นมูลค่าหุ้นส่วนเกินเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีหรือหากซื้อขายเท่าราคาทุน ศักดิ์สยาม ก็ต้องระบุเงินที่ได้จากการขายหุ้นเป็นทรัพย์สินต่อ ปปช. แต่ก็ไม่ปรากฏเงินก้อนนี้ในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่น ปปช. ในปี 2562
“ในปี 62 ได้ยื่นทรัพย์สินในการเข้ารับตำแหน่ง ส.ส. ว่ามีทรัพย์สินอยู่ที่ 115 ล้านบาท ไม่มีหนี้สิน มีเงินสดบวกเงินฝากอยู่ประมาณ 76 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่นๆ เกือบทั้งหมดระบุว่าได้มาก่อนปี 61 แทบทั้งสิ้น คำถามคือ เงิน 120 ล้านบาทก้อนนี้หายไปไหน นอกจากจะซุกหุ้นแล้ว นายศักดิ์สยาม ยังนำ หจก. บุรีเจริญ มาเป็นคู่สัญญากับรัฐ รับงานในกระทรวงคมนาคมที่ตัวเองเป็นรัฐมนตรี เป็นมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท โดยหลายงานก็มีความผิดปกติ คือ ราคาที่ชนะประมูลต่ำกว่าราคากลางเฉลี่ยไม่ถึง 0.3% และมีคู่เทียบเพียงรายเดียว ซึ่งเป็นบริษัทที่บริจาคเงินให้พรรคภูมิใจไทย 5 ล้านบาทในปี 2562 แบบนี้เอาไปให้ใครดูเขาก็ว่าฮั้ว ชัดขนาดนี้ เอาธุรกิจตัวเองเข้ามารับงานกระทรวงที่ตัวเองเป็นรัฐมนตรีก็ว่าผิดแล้ว ยังมีพฤติกรรมที่เป็นการฮั้วประมูลอย่างชัดเจน นอมินี ผู้ถือหุ้นบริษัทร้อยล้าน แต่มีรายได้เดือนละ 9,000 บาท”นายปกรณ์วุฒิ กล่าว
นายปกรณ์วุฒิ กล่าวอีกว่า นอมินีคนนี้แจ้งข้อมูลรายได้น้อยมากจนน่าสงสัย ทั้งที่เขาสามารถซื้อต่อที่ดินในพื้นที่พิพาทเขากระโดง ต่อจาก บิดาของนายศักดิ์สยาม และซื้อหุ้น หจก. บุรีเจริญ ทั้งหมดมาจาก นายศักดิ์สยาม ได้ จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า คนนี้เป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการในธุรกิจ 4 แห่ง แต่มีสถานะทิ้งร้างไป 3 แห่ง ส่วนอีกแห่งที่เหลือไม่มีรายได้เลยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และข้อมูลจากประกันสังคมและกรมสรรพากรในช่วงปี 2558-2563 ยังพบว่า เขาแสดงรายได้เพียงปีละประมาณ 100,000 บาท หรือเดือนละ 9,000 บาทเท่านั้น ซึ่งเป็นเงินเดือนที่ได้รับจาก บริษัท ศิลาชัย บุรีรัมย์ (1991) ธุรกิจครอบครัวของตระกูลชิดชอบ มาตั้งแต่ปี 2558 ไล่เลี่ยกับช่วงที่ ศักดิ์สยาม เป็นกรรมการบริษัท ศิลาชัย นอกจากนี้ งบดุลของบริษัทศิลาชัยในปี 2561-2562 ยังระบุว่า ลูกจ้างคนนี้กลายมาเป็นเจ้าหนี้เงินกู้ระยะยาว 221.5 ล้านบาทของบริษัท จนปี 2564 สรุปสุดท้าย บริษัทนี้เป็นหนี้ลูกจ้างอยู่ 250.2 ล้านบาท และในขณะที่บริษัทศิลาชัยจะขาดทุนและติดหนี้ก้อนโตกับคนนี้ ในปี 2562 บริษัทศิลาชัยยังบริจาคให้พรรคภูมิใจไทยไป 4.7 ล้าน ก็บริจาคให้พรรคไปอีก 2.77 ล้านบาท พร้อมกับให้ หจก.บุรีเจริญ ที่ตัวเองเป็นเจ้าของ บริจาคให้พรรคไป 4.8 ล้านบาท และในปี 2563-2564 ยังให้บริษัทศิลาชัย กู้เพิ่มอีก 100 กว่าล้านบาท โดยทั้งหมดเป็นการกู้เงินไม่มีสัญญา ไม่คิดดอกเบี้ยใดๆ
“ถ้าเราลองเปลี่ยนชื่อ พฤติการณ์นี้ทั้งหมดจาก นายเอ เป็น นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ และบริษัทศิลาชัยเป็นเหมือนกงสี ทุกอย่างก็ดูเรียบง่าย ตัวเลขกำไรขาดทุนก็อาจไม่สำคัญมากนัก ถึงบริษัทจะขาดทุนและเป็นหนี้อยู่เป็นร้อยล้าน แต่ก็เป็นหนี้คนในครอบครัว เอาเงินไปบริจาคให้พรรคการเมืองตัวเองก็เป็นเรื่องที่ไม่แปลกอะไร”นายปกรณ์วุฒิ กล่าว