“ตั๋วช้าง ภาค 2”!! ‘โรม’ จัดให้ BIG SURPRISE แฉแหลกเปิดเหตุผลที่ “ประยุทธ์” ยอมควักงบกลาง 937 ล้าน อุ้ม “พล.ต.ต.ก” กลบหนี้เน่าทุจริตกองบินตำรวจ
วันที่ 22 ก.ค.65 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 จำนวน 11 คน เป็นวันที่ 4 ต่อมาเวลา 09.35 น.นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กรณีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตขึ้นในกองบินตำรวจ อีกทั้งยังมีการยอมให้ใช้ ‘ตั๋วช้าง’ ว่า คดีนี้เกิดขึ้นในช่วงที่พล.ต.ต. ก. ดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกองบินตำรวจดำเนินการเซ็นสัญญาโครงการซ่อมบำรุงอากาศยาน กับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ให้เป็นผู้ดำเนินการซ่อมและจัดหาอะไหล่ ตามงบประมาณปี 2563 จำนวนกว่า 950 ล้านบาท แต่ต่อมาการบินไทยได้ยื่นหนังสือทวงหนี้มายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) จึงทำให้พบว่ากองบินตำรวจ โดยพล.ต.ต.ก . และพวกได้สั่งจ้างสั่งซื้อเพิ่มเติมเกินกว่างบประมาณที่วางไว้ รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดเป็นจำนวนถึง 2,774 ล้านบาท ซึ่ง 2 ใน 3 ของทั้งหมดนี้ กองบินตำรวจไม่สามารถเบิกจากคลังมาจ่ายได้ และกว่า 784 ล้านบาท ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการซ่อมเครื่องบินเลย เช่น ซื้อถังน้ำดับไฟป่า 8 ล้านบาท หรือซื้อตะขอเกี่ยวสินค้า 6.3 ล้านบาท เป็นต้น
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า เมื่อเรื่องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบกลับถูกเตะถ่วง พล.อ.ประยุทธ์ปล่อยปละละเลย ไม่เร่งรัดกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริง จนกระทั่งกรมบังคับคดีซึ่งดูแลเรื่องการฟื้นฟูกิจการของการบินไทยส่งหนังสือทวงหนี้ 1,824 ล้านบาทมายังสตช. อย่างไรก็ตามในขั้นตอนนี้เป็นโอกาสสำคัญที่จะปฏิเสธหนี้ก้อนนี้ได้ เพราะตามขั้นตอน สตช. มีเวลาในการปฏิเสธหนี้ภายใน 14 วัน แต่กลับทำหนังสือปฏิเสธหนี้ตอบกลับไปเกินเวลาที่กำหนด ทำให้ สตช. ต้องชำระหนี้การบินไทยเป็นจำนวนถึง 937 ล้านบาท ส่วนสาเหตุที่หนี้ลดลงจากเดิม เนื่องจากทางตำรวจไปขอต่อรองกับการบินไทยให้ยกเลิกรายการบางส่วนที่ยังไม่ได้รับพัสดุมาได้
นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า ต่อมาพล.อ.ประยุทธ์ จึงใช้วิธีอนุมัติงบกลางเพื่อใช้หนี้ในวันที่ 23 ก.พ. 2565 และในวันที่ 12 เม.ย.2565 ครม.ก็อนุมัติอีกที รวมถึงยังอนุมัติให้ สตช. สามารถก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าที่กำหนดไว้ในงบประมาณปี 2563 ด้วย มตินี้จึงเหมือนเป็นทั้งการฟอกขาวให้ไปในตัว ทั้งยังนำเงินภาษีของประชาชนไปจ่ายให้กับการทุจริตที่เกิดขึ้นในกองบินตำรวจอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีกรณีที่ พล.ต.ต. ก. ไปทำสัญญาแลกเปลี่ยนอะไหล่อากาศยานด้วยวิธีเฉพาะเจาะจง โดยรวบรวมเอาอะไหล่เก่าๆ ที่เสื่อมสภาพแล้วไปแลกกับชุดใบพัดหางเฮลิคอปเตอร์ จำนวน 2 ชุด ซึ่งในเรื่องนี้จากคำสั่งตร. ระบุว่าตำแหน่งระดับผู้การกองบินมีอำนาจอนุมัติวงเงินได้แค่ 5,000,000 บาทเท่านั้น หรือในระเบียบกระทรวงการคลัง ระบุไว้ว่าวงเงินต้องไม่เกิน 500,000 บาท แต่เมื่อมีการประเมินราคาของที่พล.ต.ต. ก. นำไปแลกจำนวนทั้งหมด 6,622 ชิ้น นั้นพบว่า ราคารวมกันสูงถึง 1,157 ล้านบาท และในจำนวนนี้ยังพบด้วยว่ามีคำสั่งให้เอาอะไหล่ของเครื่องบิน Skyvan 1 ลำ 4 ชิ้น ซึ่งในจำนวนนี้เป็นเครื่องยนต์ 2 ชิ้น และอะไหล่ของเฮลิคอปเตอร์ Bell 3 ลำ อีก 21 ชิ้น ไปยำรวมกับเศษเหล็กด้วย โดยอะไหล่ดังกล่าวที่สวมเข้ามาในบัญชีแลกเปลี่ยนนี้ยังใช้งานได้ทั้งหมด ประเมินแล้วมีมูลค่าประมาณ 111,000,000 บาท แต่เมื่อนำไปยำรวมกับเศษเหล็กมูลค่าจึงเหลือเพียง 2,500,000 บาทเท่านั้น และกรณีนี้เมื่อเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบก็มีการเตะถ่วง ตั้งคณะกรรมการสอบวนไปวนมาเช่นเดิม จากพฤติกรรมที่ส่อทุจริตในกองบินตำรวจมีความชัดเจนทั้ง 2 กรณี
“พล.อ.ประยุทธ์ รู้ปัญหาดีมาตลอด เพราะเป็นผู้เซ็นรับทราบด้วยตัวเอง แต่กลับไม่ได้ดำเนินการอะไรต่อพล.ต.ต. ก. จึงทำให้เกิดความสงสัย และไปตรวจสอบต่อว่าเป็นเพราะเหตุใดบุคคลนี้ใหญ่มาจากไหน ทำไมจึงไม่มีใครแตะต้อง จนได้ไปพบข้อมูลว่าพล.ต.ต. ก. มีฐานะเป็นผบ.ศปก.ถปภ.ขบวน ฮ.เดโชชัย 5 ซึ่งจากเดิมถูกให้ไปดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการ สำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ แต่หลังจากได้หนังสือตอบจากสำนักราชวังให้ปฏิบัติงานต่อตามที่ขอได้สตช. จึงออกเอกสารที่มีชื่อว่า ‘แผนถวายความปลอดภัยสำหรับขบวนเฮลิคอปเตอร์พระราชพาหนะ’ เซ็นอนุมัติไว้ท้ายเอกสารโดยผู้ช่วย ผบ.ตร. ปฏิบัติราชการแทนผบ.ตร. สาระสำคัญคือระบุถึงการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการถวายความปลอดภัยสำหรับขบวนเฮลิคอปเตอร์พระราชพาหนะ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ศปก.ถปภ.ขบวน ฮ. เดโชชัย 5 มีอำนาจสั่งการทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องในการจัดเฮลิคอปเตอร์พระราชพาหนะ และยังกำหนดให้กองบินตำรวจ ต้องคอยรับผิดชอบและปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายมาจากพล.ต.ต.ก. ทั้งที่มีเพียงกองบินตำรวจเท่านั้นที่ขึ้นตรงกับสตช. ไม่มีชื่อศูนย์นี้ระบุไว้ว่าสังกัดหน่วยงานใด จึงเป็นคำถามว่าศูนย์นี้ตั้งขึ้นมาโดยอาศัยอำนาจอำนาจตามกฎหมายอะไรและทำไมจึงสั่งการกองบินตำรวจได้” นายรังสิมันต์ อภิปราย
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า กรณีนี้จึงเหมือนเป็นการเอาหนังสือจากสำนักพระราชวังมาอ้าง โดยบอกว่าเพื่อวางแผนถวายความปลอดภัยฯ แบบนี้จึงเท่ากับ ‘ตั๋วช้าง’ อีกประเภทหนึ่งใช่หรือไม่ และคนที่เซ็นออกแผนก็คือเพื่อนร่วมรุ่นกับ พล.ต.ต. ก. เหมือนเพื่อนช่วยเพื่อนให้มีวิธีอยู่ในตำแหน่งที่สามารถสั่งการกองบินตำรวจเช่นเดิมได้ มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ หายไปไหน ทำไมจึงปล่อยให้ทำสิ่งต้องห้าม ไปนำสถาบันมาเป็นเกราะกำบังเพื่อสร้างวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด เพราะเมื่อได้ตั๋วมาแล้วคงไม่มีใครกล้าตรวจสอบแน่ โดยผลกระทบจากกรณีนี้อย่างน้อยมี 2 ประการ คือ 1.พล.ต.ต. ก.ที่ต้องขาดจากตำแหน่งเดิมตามข้อบังคับ สามารถเอาตำแหน่งผอ.กองบินเป็นนักบินเฮลิคอปเตอร์และผู้อำนวยการเดินทางถวาย ซึ่งเป็นตำแหน่งของกองบินตำรวจมาเป็นตำแหน่งติดตัว โดยไม่ต้องดำเนินการตามขั้นตอนของตำรวจอย่างไรก็ได้ เพราะถ้ามีตั๋วก็ทำได้หมด และ 2.ไม่มีความปลอดภัย เพราะเมื่อพล.ต.ต.ก.ถูกย้ายไปอยู่ในหน่วยที่ไม่ต้องทำการบินแล้วก็ไม่จำเป็นต้องตรวจสุขภาพตามระเบียบ จึงเท่ากับขาดคุณสมบัติในการเป็นนักบินและทำให้พระบรมวงศานุวงศ์ต้องตกอยู่ในอันตราย นั่นจึงหมายความว่า พล.อ.ประยุทธ์ บกพร่องที่สุดในการถวายความปลอดภัย เพราะได้ถวายนักบินเถื่อนไม่ตรวจสุขภาพทำการบินใช่หรือไม่
นายรังสิมันต์ อภิปรายอีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ คือบุคคลสำคัญที่สุดที่เป็นผู้สานต่อวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดวัฒนธรรมทุจริตแล้วได้ดิบได้ดี ให้แผ่ไพศาลไปทั่วทุกระบบราชการ ไม่ใช่แค่ตำรวจ แต่รวมทั้งทหาร, ครู, ศาล, อัยการ และราชการอื่นๆ ใดๆ ทั้งหมดทั้งปวง ฉุดลากเอาระบบราชการของประเทศนี้ที่ตกต่ำอยู่แล้วให้ตกต่ำลงไปอีก ในแบบที่ไม่อาจเห็นได้เลยว่าก้นบึ้งของความตกต่ำนี้จะไปสิ้นสุดลงที่ตรงไหน หวังว่าการอภิปรายของตนรอบนี้จะทำให้พล.อ.ประยุทธ์ สำเหนียกว่าตัวเองไม่คู่ควรอีกแล้วที่จะได้รับความไว้วางใจให้บริหารประเทศจากนี้และตลอดไป แล้วจงพิจารณาตัวเองไสหัวของท่านออกไปเสีย