“กอบศักดิ์” เผยความผันผวนตลาดการเงินโลกต่อการลงทุน คาดกนง.จะขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ สิ้นปีดอกเบี้ยไทยแตะ 1.25% จากปัจจุบัน 0.5%
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศไทย แม้สถานการณ์จะดีขึ้นจากการผ่อนคลายมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ภาคการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว แต่ยังคงมีปัจจัยความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อที่ทำให้ราคาสินค้าและต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น
ภาคการส่งออกเริ่มเติบโตชะลอลงจากกำลังซื้อของประเทศปลายทาง และความผันผวนในตลาดการเงินโลกที่กระทบต่อภาคการลงทุนและอัตราแลกเปลี่ยน จึงประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) น่าจะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ครั้งละ 0.25% ในการประชุม กนง. ปี 2565 นี้ ที่ยังเหลืออีก 3 ครั้ง ซึ่งคาดว่าจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะทยอยปรับขึ้นจากปัจจุบันที่ 0.50% ไปเป็น 1.25% ในช่วงปลายปีนี้
ขณะนี้ประเทศไทยกำหนดอัตราดอกเบี้ยต่ำมาก อยู่ที่ 0.50% มาเป็นระยะเวลานาน เพื่อพยุงเศรษฐกิจในช่วงการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 เมื่อเทียบกับช่วงที่เคยเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในรอบที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยนโยบายในเวลานั้นยังอยู่ที่ 1.25%
ดังนั้น ตอนนี้ปัจจัยเรื่องโควิด-19 เริ่มคลายลงแล้ว เศรษฐกิจเริ่มฟื้นคืน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันปัจจัยใหม่ที่เข้ามามีน้ำหนักมากขึ้นแทนคือ อัตราเงินเฟ้อสูง ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงค่อนข้างมาก และเงินสำรองระหว่างประเทศที่เริ่มลดลงมาพอสมควร จึงน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณากำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
สำหรับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน มีปัญหาในลักษณะวิกฤตซ้อนวิกฤต ทั้งสถานการณ์ปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ส่งผลถึงวิกฤตด้านราคาพลังงานและวิกฤตอาหารโลก อันเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาอัตราเงินเฟ้อสูงทั่วโลก ทั้งเป็นแรงกดดันสำคัญให้ธนาคารกลางในประเทศต่าง ๆ ต้องเร่งพิจารณาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นำโดยธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ที่ต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปถึง ร้อยละ 3.80 เป็นอย่างน้อย เพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ และปัญหาสภาพคล่องจำนวนมากที่เคยอัดฉีดเข้ามาก่อนหน้านี้ ด้วยการดึงสภาพคล่องออกจากระบบ จึงส่งผลต่อความผันผวนของราคาสินทรัพย์และตลาดการเงินโลก
ขณะเดียวกัน การขึ้นดอกเบี้ยจะยิ่งกระทบกับเศรษฐกิจในตลาดที่เพิ่งเกิดใหม่ (Emerging Market) โดยเฉพาะประเทศที่มีภาระหนี้ต่างประเทศค่อนข้างสูง ดังที่เริ่มเห็นสถานการณ์ในศรีลังกา สปป.ลาว และเมียนมาร์ จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจติดลบ หรือ Recession ได้ในระยะ 1-2 ปีนี้