รัฐสภาถก กม.ลูกพรรคการเมือง “ก้าวไกล” ข้องใจพระเป็นสมาชิกพรรคไม่ได้ ทั้งที่ศาสนาอื่นเป็นได้ พร้อมดับฝัน “ส.ว.” เสนอปลดล็อคตัวเอง พร้อมปิดฉาก “ไพรมารีโหวต”
วันที่ 26 ก..ค.65 ที่รัฐสภา ต่อมาเวลา 12.33 น. ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ได้พิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ฉบับที่ พ.ศ. .. ตามที่คณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญฯ พิจารณาเสร็จแล้ว มีทั้งหมด 12 มาตรา ในวาระสอง โดยเป็นการพิจารณาเรียงลำดับรายมาตรา โดยในมาตรา4 /1 แก้ไขมาตรา 24 ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของบุคคลที่จะร่วมเป็นสมาชิกของพรรคการเมือง ซึ่งกมธ. พิจารณาเพิ่มบทบัญญัติขึ้นใหม่และมีกมธ.เสียงข้างน้อย รวมถึงสมาชิกรัฐสภาติดใจขอแปรญัตติ โดยเฉพาะประเด็นที่ขอสิทธิให้บุคคลที่ต้องโทษจำคุก , ผู้ที่เคยจำคุกและพ้นโทษมาแล้ว 5 ปี รวมถึง ส.ว. หรือบุคคลที่พ้นตำแหน่งส.ว. ไม่ครบ2 ปีสามารถเข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคการเมืองได้ เพื่อเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองสามารถมีสมาชิกพรรคการเมืองเพิ่มขึ้นได้
โดยนายณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะกมธ.เสียงข้างน้อย อภิปรายว่า สิ่งที่เป็นคุณสมบัติพื้นฐานของคนที่เป็นพลเมือง คือพลเมืองทุกคนในประเทศนี้มีสิทธิเท่าเทียมกัน ซึ่งงตนไม่สนใจว่าจะต้องโทษมาหรือไม่ หรือพ้นมาแล้วกี่ปี แต่หากจะตัดสิทธิในการเป็นกรรมการบริหารพรรค ตัดสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ตัดสิทธิความเป็นรัฐมนตรี ด้วยเงื่อนไขลักษณะเฉพาะบางประการ เช่นหากมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ก็ว่ากันไป เพราะวันนี้ยังมีคดีที่ค้างอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องคุณสมบัติของส.ส.อีกหลายคน ที่เคยต้องคำพิพากษาหรือต้องโทษจำคุกมายังไม่สิ้นสุด ซึ่งคนควรจะรู้คุณสมบัติขั้นพื้นฐานตั้งแต่ต้น ซึ่งเห็นว่าเมื่อพ้นโทษมาแล้วก็มีสิทธิ์เต็มที่ ไม่ควรมีกฎหมายจำกัดสิทธิ์ เราสามารถปลดล็อคให้เขามีที่ยืนได้ ดังนั้นควรให้นักโทษจำคุกทุกคน เป็นสมาชิกพรรคการเมืองได้
นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะกมธ.เสียงข้างน้อย อภิปรายว่า พรรคการเมืองเป็นสถานบันที่จำเป็นต้องมีสมาชิกหลากหลาย คนที่เคยล้มละลายมา ซึ่งเป็นเรื่องส่วนตัว แต่เขามีแนวคิดทางการเมืองดีๆก็ได้ ทำไมต้องไปตัดสิทธิ์เขา และคนที่กระทำความผิดแบบที่กฎหมายกำหนดก็สามารถกลับตัวได้ แล้วจะตัดสิทธิ์ไม่ให้เขาเข้ามาเกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองได้อย่างไร ร่างของกมธ.เสียงข้างมาก บอกเลยว่ากีดกันคนล้มละลาย ทั้งที่เป็นเรื่องส่วนตัว หรือบอกว่าพ้นโทษไม่ถึง10ปี ไม่ให้เป็นสมาชิกพรรค ทั้งที่เป็นเรื่องส่วนตัว และที่สำคัญเป็นบุคคลลักษณะต้องห้ามไม่มีสิทธิ์เลือกตั้งตามมาตรา 98 (1) คือเป็นภิกษุ สามเณร นักพรต นักบวช ในศาสนาพุทธ ไม่สามารถที่จะเป็นสมาชิกพรรคการเมืองหรือตั้งพรรคการเมืองได้ ทำไมนักพรต นักบวชในศาสนาอื่น ที่ไม่ใช่ศาสนาพุธ มีสิทธิ์เป็นสมาชิกพรรคการเมืองได้ มีสิทธิ์ก่อตั้งพรรคการเมืองได้
นายธีรัจชัย กล่าวต่อว่า ร่างของกมธ.เสียงข้างมากเป็นการจำกัดสิทธิ์อย่างมากมาย เราใช้แนวคิดเสรีนิยมมาใช้ไม่ได้หรือ ทำไมต้องใช้แนวคิดเผด็จการ เราหาคนดีไม่ได้ หรือคนดีคือคนที่มีบุญคุณกับท่าน ดังนั้นการเปิดโอกาสให้คนทุกเพศทุกวัย ทุกชาติ ทุกศาสนา คนทำผิดซึ่งเป็นเรื่องส่วนตัวมีสิทธิ์ชอบธรรมในการเป็นสมาชิกพรรคการเมือง จึงเห็นว่าควรตัดมาตรานี้ออกไป แต่ควรจะเปิดเสรี เชื่อว่าจะทำให้พรรคการเมืองเติบโตเข้มแข็ง เติบโตจากประชาชนไม่ใช่เติบโตจากฝ่ายเผด็จการบางคน หรือลูกน้องเผด็จการบางคนที่ออกกฎหมายมาบีบให้พรรคการเมืองไม่เติบโตหรือแคระแกรน
นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม ส.ว.ในฐานะกมธ.เสียงข้างน้อย อภิปรายว่า เรื่องนี้ต้องคิดอย่างรอบคอบ ความเห็นต่างของตนคือพรรคการเมืองไม่ใช่ของผู้ก่อตั้งพรรค ผู้บริหารพรรค และไม่ใช่ของสมาชิกพรรคการเมือง แต่พรรคการเมืองทุกพรรคเป็นของประชาชน จึงเห็นว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ประชาชนจะไปเป็นสมาชิกพรรคใดก็ได้ และควรมีข้อจำกัดเท่าที่จำเป็น คนที่เคยเป็น ส.ว. ส.ส. หรือคนที่เคยทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติ เมื่อพ้นตำแหน่งไปแล้ว ถูกห้ามไม่ให้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองทั้งที่ก็เป็นพลเมืองไทยเหมือนกัน
“เห็นด้วยจำกัดสิทธิ แต่ต้องมีเหตุผลและต้องพิจารณาความจำเป็น เพื่อจำกัดคนไม่ดี ไม่ควรให้สมัครเป็นส.ส. หากลอกมาทั้งหมดห้ามคนที่ไม่ควรเป็นส.ส. ห้ามเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเยอะเกินไป ทั้งนี้ผมไม่เห็นด้วยที่จะห้าม อดีตส.ว.เป็นสมาชิกพรรคการเมือง ที่บอกว่าจะไปเอื้อประโยชน์ หรือมีผลประโยชน์ทับซ้อนนั้น ถูกห้ามไว้แล้วในกฎหมายอื่น ถูกห้ามเป็นตลอดชีพ ทั้งรัฐมนตรี ผู้บริหาร องค์กรอิสระ ตุลาการ ดังนั้นการห้ามไม่ให้อดีตส.ว.เป็นสมาชิกพรรคการเมืองเยอะเกินไป”นายดิเรกฤทธิ์ กล่าว
ภายหลังจากที่ที่ประชุมอภิปรายแล้วเสร็จได้ลงมติ ที่ประชุมลงมติ 262 ต่อ 51 เสียง เห็นชอบกับเนื้อหาที่กมธ.เพิ่มขึ้นใหม่ งดออกเสียง 126 เสียง และไม่ลงคะแนน 1 เสียง
ปิดฉาก “ไพรมารีโหวต”
ต่อมาที่ประชุมพิจารณา มาตรา 6 แก้ไขมาตรา47 เกี่ยวกับให้ตัวแทนพรรคการเมืองหรือสาขาพรรค สรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งส.ส.แบ่งเขต โดยนายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว. อภิปรายว่า แก้ไขแบบนี้เท่ากับเป็นการตัดวรรคสองของมาตรา 47 เดิม ซึ่งในวรรคนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำไพรมารีโหวต เป็นการทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการสรรหาตัวผู้สมัครส.ส. ซึ่งถือเป็นหัวใจของการปฏิรูปการเมือง ดังนั้น ตนจึงขอเสนอให้ตัดมาตรา 47 ที่กมธ.แก้ไข แล้วให้กลับไปใช้มาตรา 47 ของเดิม
จากนั้นที่ประชุมลงมติยืนตามที่กมธ.แก้ไข ด้วยคะแนน 354 ต่อ15 งดออกเสียง3 ไม่ออกเสียง2 เสียง อย่างไรก็ตามในมาตรา 7 แก้ไขมาตรา 48 เกี่ยวกับให้ตัวแทนพรรคการเมืองหรือสาขาพรรค สรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ นั้น นายเสรีก็ได้อภิปรายซ้ำในลักษณะเดิมเหมือนกับมาตรา 6 ไม่ต้องการให้ตัดการทำไพรมารีโหวตออก แต่ไม่ติดใจแล้ว เนื่องจากแนวคิดของตนได้แพ้ไปตั้งแต่มาตรา 6
ทั้งนี้ ที่ประชุมลงมติยืนตามกมธ.เสียงข้างมากแก้ไข ด้วยคะแนน 356 ต่อ 22 งดออกเสียง 2 ไม่ออกเสียง 5 เสียง