อาชญากรรมหลากหลายรูปแบบที่ร้องผ่าน “มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี” ตลอดปี 2563 ทุกข์ร้อนของประชาชน หลั่งไหลเข้ามาตามสาย 10,147 ราย
โดยให้ความสำคัญและเร่งให้ความช่วยเหลือปัญหาข่มขืน อนาจาร ปัญหาทำร้ายร่างกาย ทารุณกรรม ปัญหาค้ามนุษย์ ค้าประเวณี ปัญหาครอบครัว ปัญหายาเสพติด และขอความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
ปัญหาข่มขืน อนาจาร พบว่า อันดับ 1 ผู้ที่ข่มขืน คือ แฟน-เพื่อน 340 ราย อันดับ 2 คนในครอบครัว ญาติ พี่เลี้ยง 241 ราย และอันดับ 3 คนข้างบ้าน 44 ราย
ที่น่าตกใจเด็กแรกเกิด-5 ขวบปี ถูกข่มขืน 28 ราย และเด็กวัย 6-10 ปี ถูกข่มขืน 94 ราย
ซึ่งฉายภาพลงลึก “ราษฎรเต็มขั้น” รู้สึกปวดร้าวหัวใจ เมื่อพบเคสข่มขืน กระทำชำเรา ผู้เสียหายอายุน้อยสุดเด็กหญิงวัย 2 ขวบ 10 เดือน โดยน้ำมือ “ตาข้างบ้าน” วัย 40 ปี และผู้เสียหายอายุมากที่สุด เป็นหญิงวัย 70 ปี โดยน้ำมือ “น้องชายสามี” วัย 40 ปี

เคสการทารุณกรรม ทำร้ายร่างกาย พบว่า อายุน้อยที่สุดเป็นเด็กหญิงวัย 4 เดือน ถูกพ่อแม่วัย 25 ปี เสพยาเสพติด ทำร้ายร่างกาย และคุณยายวัย 79 ปีเป็นผู้เสียหายที่อายุมากสุด โดยฝีมือลูกสาวในสายเลือดวัย 50 ปี
ทุกเคสมูลนิธิปวีณาฯไล่ประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยเหลือเป็นรายๆ ไป
อีกปมที่สะท้อนความล้มเหลวโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ทำให้เกิดครอบครัวเชิงเดียว เห็นได้จากปัญหาครอบครัว มีผู้ร้องเข้ามา 1,909 ราย ซึ่งในจำนวนนี้มีเคสผู้หญิงท้อง โดยฝ่ายชายไม่ยอมรับ เป็นปัญหาที่พบมากขึ้น
“เจ๊ปิ๊ก” ปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณา มีทางออก เสนอให้รัฐบาลหรือสภาผู้แทนราษฎร ออกกฎหมายเฉพาะ จัดการกับฝ่ายชายที่ไม่มีความรับผิดชอบ โดยเฉพาะเมื่อมีการพิสูจน์ลูกในท้องแล้ว
ไม่เช่นนั้นฝ่ายหญิงจะแบกรับผิดชอบข้างเดียว ก่อให้เกิดปัญหาอื่นๆอีก อาทิ นำทารกไปทิ้ง ทำร้ายลูก ก่อปัญหาสังคมตามมาอีกมากมาย
ปัญหายาเสพติดก็เช่นกัน “เจ๊ปิ๊ก” ฉายภาพให้เห็นว่าเป็นต้นตอบ่อเกิดของปัญหาสังคมและครอบครัว ขอให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องการบำบัด ฟื้นฟู ผู้ติดยาเสพติด เพื่อตัดวงจรไม่ให้กลับมาเกี่ยวข้องกับยาเสพติดอีกต่อไป
เพราะผู้เสพคือผู้ค้ารายย่อย เปรียบเหมือนการขายตรงของขบวนการค้ายาเสพติด
ในเคสพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศ หรือการคุกคามทางเพศ แทะโลม แต๊ะอั๋ง ที่เกิดขึ้นในสถานประกอบต่างๆ กลับไม่เคยร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิปวีณา กรณีแบบนี้เกิดขึ้นเยอะมาก กลายเป็นปัญหาระดับโลก
ล่าสุดเกิดที่บริษัทในนิคมอุตสาหกรรมใหญ่ระดับประเทศ ตั้งอยู่ ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี มีพนักงานประมาณ 50 คน หัวหน้างานชายมีพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศกับพนักงานหญิงหลายคนในบริษัท
เมื่อมีโอกาสก็พยายามล่วงเกินในจังหวะที่พนักงานไม่ทันตั้งตัว จับมือบ้าง จับเอวบ้าง โอบไหล่บ้าง โดนคุกคามทางคำพูด หากโวยวาย ไม่ยอม ก็จะพาลไปเรื่องงาน ไม่มีความก้าวหน้าและบรรยากาศการทำงานอึดอัด ตึงเครียด ผู้ตกเป็นเหยื่อกลัว พนักงานกลัว ลาออกไปบ้าง พนักงานใหม่เข้ามาก็ถูกกระทำอีก

การคุกคามทางเพศ ในสถานประกอบการไม่เคยมีการร้องขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิปวีณา โดย “เจ๊ปิ๊ก” มีคำแนะนำให้ผู้ตกเป็นเหยื่อต้องไม่ยินยอม สิ่งที่สำคัญมาก ผู้หญิงต้องไม่กลัวโดนไล่ออก หรือกลัวถูกกดดันในการทำงาน ขอให้พกความกล้า ประจานให้สังคมรับรู้ถึงการกระทำที่ไม่เหมาะสม และเข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดำเนินคดีให้ถึงที่สุด เป็นมาตรการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิดได้อยู่หมัด
ในส่วนภาคราชการก็เริ่มขยับ คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ยังเสนอให้ครม.เห็นชอบการปรับข้อมาตรการทางการบริหารทางวินัยและจริยธรรมเรื่องชู้สาว คุกคามทางเพศ ละเมิดทางเพศของข้าราชการ รวมถึงล่วงละเมิดในสื่อออนไลน์ด้วย
โดยเพิ่มความเข้มให้สั่ง “พักราชการ” หรือสั่งให้ “ออกจากราชการ” ไว้ก่อน หากละเมิดกฎเหล็กก.พ.
ขณะที่บริษัทหรือองค์กรภาคเอกชนก็ต้องมีกฎระเบียบชัดเจน ผู้ใดกระทำอนาจาร ลวนลามทางเพศ ต้องได้รับโทษให้ “หยุดงาน” หรือ “ไล่ออก”

หาก “จับกัง1” สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ต้องการเล่นบทเทพบุตร ต้องทำงานเชิงรุก ขึงขังบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองแรงงานให้เต็มที่ นายจ้าง ผู้จัดการ หรือผู้ใดที่ “ล่วงเกิน-คุกคาม-ก่อความเดือดร้อนรำคาญทางเพศ” ควรเอาผิดตามกฎเหล็ก
และถึงเวลาที่คณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาติ ทำงานเชิงรุกให้บริการด้านสุขภาพจิต ตามอำนาจหน้าที่ถูกกำหนดไว้ในพ.ร.บ.สุขภาพจิตฉบับแก้ไข อย่างน้อยเข้าไปฟื้นฟูจิตผู้ป่วยตามแหล่งชุมชน เพื่อป้องกันเดินเข้าสู่วงจรก่ออาชญากรรม
คงช่วยให้คดีอาชญากรรมรูปแบบต่างๆ ลดลงไม่มากก็น้อย
…………………………………….
คอลัมน์ : ไขกุญแจ/ไขแหลก
โดย : “ราษฎรเต็มขั้น”