ทำไม “ผู้เล่นรายใหญ่” ในหลายกิจการของไทย ไม่อาจละทิ้งกัมพูชาได้ โดยเฉพาะ “พลังงาน” แม้จะมีปัญหากระทบกระทั่งกับไทยในเวลานี้
กลยุทธ์ให้ประเทศกัมพูชาเป็น “บ้านหลังที่สอง” (Second Homebase) ของบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จํากัด (มหาชน) หรือ OR ก็ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ตอนประกาศให้กัมพูชาเป็นบ้านหลังที่สองเมื่อปี 2566 OR ให้กัมพูชาเป็นประเทศยุทธศาสตร์ในการดำเนินธุรกิจที่สำคัญของ OR เลยทีเดียว เปรียบเสมือนเป็นบ้านหลังที่ 2 รองจากประเทศไทย OR มองด้านการเติบโตเป็นหลัก เพราะจีดีพีของกัมพูชาเติบโต ขณะที่ OR ก็ต้องการขยายตลาด
CEO OR ในตอนนั้น ย้ำว่า “กัมพูชาเป็นตลาดเสรีมีการแข่งขัน”
OR ลงทุนในกัมพูชา ภายใต้ บริษัท PTT Cambodia Limited (PTTCL) ตั้งแต่ปี 2538 ปัจจุบัน OR มีปั๊มน้ำมัน PTT Station ในกัมพูชา 186 แห่ง, ร้านกาแฟคาเฟ่ อเมซอน 254 สาขา, ร้านสะดวกซื้อ 71 สาขา และคลังน้ำมัน 6 แห่ง รวมทั้งมีธุรกิจ Non-oil อื่นๆ ในปั๊มบล็อกเดียวกับปั๊ม PTT Station ในไทย เช่น ร้านสะดวกซัก Otteri wash & dry และ OR ยังมีแผนลงทุนเช่าที่ดินสร้างคลังน้ำมันกับ LPG ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณกว่า 3,000 ล้านบาท
ไม่ผิดที่ OR จะให้กัมพูชาเป็นบ้านหลังที่สอง เพราะมองเฉพาะการเติบโตด้านพลังงาน กัมพูชามีการขยายตัวอยู่พอสมควร มูลค่าการนําเข้าน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ รวม 2.69 พันล้านดอลลาร์ในปี 2567 เพิ่มขึ้น 12% จาก 2.4 พันล้านดอลลาร์ในปีก่อนหน้า โดยกระทรวงเหมืองแร่และพลังงานของกัมพูชา คาดว่าความต้องการ ผลิตภัณฑ์น้ำมันในกัมพูชาจะสูงถึง 4.8 ล้านตันในปี 2573 เพิ่มขึ้นจาก 2.8 ล้านตันในปี 2563 นอกจากนี้กัมพูชายังนําเข้ายานพาหนะทุกประเภทมูลค่ารวม 1 พันล้านดอลลาร์ในปี 2567 เพิ่มขึ้น 11.6%

ที่ผ่านมา ประเทศไทยเป็นแหล่งป้อนพลังงานให้กัมพูชาอันดับต้นๆ ข้อมูลของ หอการค้าอเมริกันในกัมพูชา พบว่า ในปี 2567 กัมพูชาการนําเข้าจากไทย 1.12 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 29% ของการนําเข้าเชื้อเพลิงทั้งหมดของกัมพูชา ไม่เฉพาะไทย กัมพูชายังนำเข้าจากเวียดนาม 29% เหมือนกันมูลค่าใกล้เคียงกัน และนำเข้าจากสิงคโปร์ 13% มูลค่า 514 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อินโดนีเซีย 11% หรือประมาณ 421 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ประเทศอื่นๆ รวมกัน 18% มูลค่า 692 ล้านดอลลาร์
ดังนั้นกัมพูชามีทางเลือกพอสมควรในการนำเข้า และระยะยาวอาจกลายเป็นคู่แข่งด้วยซ้ำไป เพราะตอนนี้ “มหาอำนาจชาติตะวันตก” ที่รักประชาธิปไตยน้อยใหญ่ รวมถึงประเทศในเอเชียเอง ต่างเสนอตัวเข้าไปลงทุนด้านพลังงานในกัมพูชา มีภาพปรากฎต่อสาธารณะถึงการที่กิจการพลังงานจากชาติตะวันตก เข้าพบ “ผู้นำกัมพูชา” เรียกว่าหัวบันไดไม่แห้งเลยทีเดียว เฉพาะปีนี้ก็หลายเจ้าอยู่
อย่าง ConocoPhillips ยักษ์ใหญ่ด้านน้ำมันและก๊าซฯ ที่มีสํานักงานใหญ่ในเท็กซัส สหรัฐฯ หนึ่งในบริษัทสํารวจ และผลิตน้ำมันและก๊าซฯที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีรายได้ต่อปีมากกว่า 56 พันล้านดอลลาร์ในปี 2567 ดําเนินงานในกว่า 15 ประเทศ และกัมพูชากำลังเป็นประเทศต่อไปที่เขาจะเข้าไปลงทุน เมื่อต้นปีมีข่าว ผู้บริหารระดับสูงของ ConocoPhillips เข้าหารือกันกับ นาย Keo Rottanak รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเหมืองแร่ และพลังงานของกัมพูชา
หรือ TotalEnergies ยักษ์ใหญ่ของฝรั่งเศสก็เช่นกัน Mehmet Celepoglu รองผู้อํานวยการ TotalEnergies ประจําภูมิภาคโอเชียเนียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เข้าพบกับ Rottanak ที่กัมพูชาเหมือนกัน และก่อนหน้านี้ Woodside Energy บริษัทใหญ่ด้านอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ของออสเตรเลียก็แสดงความสนใจลงทุนด้วย
บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานระดับโลก ต่างมองไม่ต่างกันว่า ในภูมิภาคนี้แล้ว “กัมพูชา” กำลังเป็นกราฟขาขึ้นด้านพลังงาน และทางยุทธศาสตร์แล้ว หากชาติตะวันตกไม่เข้ามา “จีน” ก็รวบแน่ และบุกไปแล้วโดย Guanzun Energy Investment Co., Ltd. บริษัทจีน พร้อมแล้วที่จะสร้างโรงกลั่นน้ำมันแห่งแรกและใหญ่ที่สุดของกัมพูชาในจังหวัดกําปอต ด้วยมูลค่าประมาณ 3.5 พันล้านดอลลาร์ กำลังผลิตน้ำมัน 10 ล้านตันต่อปี เฟสแรกขึ้นโรงกลั่นน้ำมันด้วยกำลังผลิตครึ่งหนึ่งก่อน หรือ 5 ล้านตันต่อปี ลงทุน 2.6 พันล้านดอลลาร์ ใช้เวลาก่อสร้างแค่ 18 เดือน ก็หมายถึงปีหน้าโรงกลั่นแห่งนี้จะเปิดในเฟสแรกได้ และ อีก 18 เดือนถัดไปอีก 5 ล้านตันก็จะตามมา
ทีนี้แหละในประเทศเขาต้องการ 76,000 บาร์เรลต่อวัน หมายถึงที่เหลือส่งออกได้ และเป็นโรงกลั่นใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีใหม่เสียด้วย โดย Guanzun Energy ไปจับมือกับบริษัทชั้นนําหลายแห่ง รวมถึง Sinopec Second Construction Group, China Railway Port and Navigation Bureau และ Shanxi Construction Investment Co., Ltd.
โรงกลั่นที่จะเกิดขึ้นในกัมพูชา จึงถือเป็นการก้าวกระโดดครั้งใหญ่สําหรับกัมพูชา เขาถึงเชิญชวนให้คนกัมพูชากลับประเทศ เพราะจะมีการจ้างงานเพิ่มจำนวนมากจากกิจการพลังงาน
ไม่ใช่แค่เจ้าเดียวจากจีน Beijing Saite Holding Co., Ltd. ยังแสดงความสนใจลงทุนในการกลั่น น้ำมันดิบ และการผลิตผลพลอยได้จากการกลั่นในกัมพูชาอีก หมายถึงจะไม่ได้มีแค่น้ำมันเท่านั้น แต่มีผลิตภัณฑ์อื่นๆออกมาด้วย เป็นอันว่าที่เคยต้องพึ่งจากไทย อนาคตก็ไม่ต้อง!
อีกไม่นานกัมพูชาจะมีโรงกลั่นน้ำมันที่ทันสมัย มีปริมาณสํารองปิโตรเลียมเชิงยุทธศาสตร์ และยังสร้างการเติบโตในกิจการพลังงานให้กัมพูชา สามารถส่งออกได้ด้วย และนอกจากโรงกลั่นแล้วการสํารวจน้ำมันทั้งบนบก และนอกชายฝั่งในกัมพูชาก็กำลังจะตามมาติดๆโดยชาติตะวันตกที่มีเทคโนโลยีทันสมัย

ไทยเคยบอกว่า เขาต้องพึ่งเรา ต้องใช้เส้นทางการขนส่งแบบเดิมๆ จากเรา เพราะโครงสร้างพื้นฐานเขาไม่เวิร์ก แต่อนาคตย้ำว่า “คงไม่ต้องแน่ๆ!”
เพราะ กระทรวงโยธาธิการและการขนส่ง (MPWT) ของกัมพูชาไปเชิญชวน “จีน” ถึงถิ่น เมืองฝูโจว มณฑลฝูเจี้ยน เสนอให้ CSCEC Strait Construction and Development Co., Ltd. หนึ่งในบริษัทการลงทุนชั้นนําของจีนไปลงทุน และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้
ทั้งนี้ CSCEC ในจีนเป็นหนึ่งในบริษัทการลงทุนชั้นนําของจีนที่เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านการ ขนส่งโลจิสติกส์ สวนอุตสาหกรรม ที่อยู่อาศัย และการพัฒนาเมือง เพื่อมารองรับแผนแม่บทการพัฒนาโครงสร้าง พื้นฐานปี 2566-2576 ของรัฐบาลกัมพูชา ซึ่งจะมีถึงโครงการ 174 โครงการที่วางแผนจะดําเนินการในอีก 10 ปีข้างหน้า
จากข้อมูลของ MPWT กัมพูชาต้องการเงินลงทุนประมาณ 36.6 พันล้านดอลลาร์ เพื่อพัฒนาโครงการขนส่งทางทะเล 20 โครงการ การขนส่งทางอากาศ 10 โครงการ โลจิสติกส์ 15 โครงการ และโครงการเพิ่มเติม 4 โครงการ
ไม่เฉพาะกิจการพลังงานเท่านั้น กิจการอื่นๆ อย่างเกษตร ก็มีนักลงทุนมหาอำนาจตบเท้าที่จะเข้าไปลงทุนการเกษตรที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงด้วย เช่น บริษัท Nokyo Tourist Regional Co-Creation Business Division ของญี่ปุ่น
ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจว่า เพราะเหตุใดในมุมมองการลงทุนจึงไม่อาจละสายตาจากกัมพูชาได้ ยุทธศาสตร์ให้กัมพูชาเป็น “บ้านหลังที่สอง” ของ OR ยังต้องเดินหน้าต่อ ก็เพราะแบบนี้ เพราะนักลงทุนพลังงานยักษ์ใหญ่ต่างกำลังแย่งกันขอจองพื้นที่การลงทุนในกัมพูชาอย่างที่เห็น ทำให้อนาคตอันใกล้ของกัมพูชา ดูจะมีความมั่นคงทางพลังงานอย่างมาก ซึ่งพลังงานเป็นพื้นฐานของการพัฒนาเศรษฐกิจ หมายถึงไทยอาจตกขบวน ทั้งมิติการสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ และมิติทางเศรษฐกิจ
……………………………………….
คอลัมน์ : เข็มทิศพลังงาน
โดย…“ศรัญญา ทองทับ”
สนับสนุนคอลัมน์ โดย : บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)







































