48 ส.ว.กับอีก 25 ส.ส.พลังประชารัฐ ลงชื่อเสนอ ชวน หลีกภัย เพื่อส่งตีความร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับ จะต้องผ่านการทำประชามติก่อนหรือไม่..??
ถึงจะสมเหตุสมผลในทางกฎหมาย แต่ด้วยเงื่อนไขทางการเมืองแล้ว 48 ส.ว.กับ 25 ส.ส.พลังประชารัฐ ไปเติมยาโด๊ปให้กับม็อบ ”ราษฎร 2563” ที่กำลังอยู่ในสภาพของคนหมดแรง
ในแต่ละสังคมถ้ามีประชากร 100 คน จะเป็นพวกหัวก้าวหน้า 15 คน และอนุรักษ์นิยม 15 คน ส่วนคนที่เป็นกลาง ๆ จะมีอยู่ 70 คน หรือเทียบเป็น 70 เปอร์เซ็นต์
ฉะนั้นการต่อสู้ทางการเมืองเพื่อชิงอำนาจระหว่างฝ่ายหัวก้าวหน้าและฝ่ายอนุรักษ์นิยม จะวนเวียนอยู่กับการสร้างเงื่อนไขจูงใจให้คนที่เป็นกลาง ๆ 70 เปอร์เซ็นต์ เห็นพ้องและเข้าร่วมมากที่สุด อันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
การต่อสู้ในรอบนี้เริ่มจาก พวกหัวก้าวหน้าจุดชนวนด้วยม็อบเด็ก จากนั้นยกระดับเป็น ”ราษฎร 2563”เพื่อเปิดให้ชาวบ้านเข้าร่วม แต่มาสะดุดกับยุทธศาสตร์ของตัวเอง เพราะข้อเรียกร้อง 3 ประการที่ประกอบด้วย 1.”บิ๊กตู่” ลาออก 2.แก้รัฐธรรมนูญ และ 3.ปฏิรูปสถาบัน ถือเป็นการก้าวกระโดดที่ไกลเกินกว่าสังคมส่วนใหญ่จะรับได้
ประกอบกับรัฐบาลหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง การเผชิญหน้าปะทะ จึงทำให้การยกระดับของ ”ราษฎร 63” ประสบความล้มเหลว ไม่สามารถสร้างแรงจูงใจหรือความน่าเห็นใจชนชาวบ้านทั่วไปแห่ฮือกระพือโหมเข้าร่วมประท้วง
ในทุกวันนี้แกนนำทำได้เพียงจัดอีเว้นท์เลี้ยงม็อบไปวัน ๆ เพื่อไม่ให้มวลชนผละหนี
กระทั่ง 48 ส.ว.และ 25 ส.ส.พลังประชารัฐ ล่าชื่อส่งตีความ 3 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ คล้ายกับต้องการซื้อเวลา จึงมีผลไปกระตุ้นให้คนที่เป็นกลาง ๆ 70 เปอร์เซ็นต์รู้สึกหงุดหงิด
เพราะหวังกันไว้ว่า ถ้าเริ่มกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูแล้ว สถานการณ์ความขัดแย้งตามท้องถนนจะสงบลง เพราะทุกฝ่ายจะมุ่งถกเถียงต่อรองในแต่ละประเด็นที่จะแก้ไข
ฉะนั้นการยื่นตีความครั้งนี้ อาจไม่เป็นผลดี ในทางตรงกันข้ามกลับจะไปยั่วให้ม็อบฟื้นคืนพลังอีกรอบ เพราะคนที่เป็นกลาง ๆ 70 เปอร์เซ็นต์ อาจไม่พอใจรัฐบาลและหันกลับมาสนับสนุนม็อบ
ดูแล้วไม่คุ้มเลย การยื่นตีความช่วยซื้อเวลาได้เล็กน้อย แต่การสะสมความไม่พอใจเพื่อรอถูกชี้ขาดในวันเลือกตั้งเป็นความเสียหายใหญ่หลวงที่รออยู่ข้างหน้า
ถึง 25 ส.ส.พลังประชารัฐ จะถอนชื่อ คงล้างใจชาวบ้านไม่ทันแล้ว
#ดินสอโดม