ทุกคนโปรดเตรียมรับแรงกระแทกเมื่อโควิดทะลวงเข้ามาถึงเมืองหลวงในรอบที่สอง
ช่วงระบาดในรอบแรก ผู้คนแตกตื่นขวัญเสีย รัฐบาลต้องสั่งปิดเมือง 1 เดือนเพื่อตัดวงจรการระบาด ส่งผลให้เศรษฐกิจภาพรวมย่อยยับนับล้าน ๆ บาท คนตกงานนับล้าน และอีกไม่น้อยต้องสูญเสียธุรกิจ ฉิบหายขายตัวกันถ้วนหน้า
กระทั่งทีมแพทย์จากมหาวิทยาลับมาให้คำแนะนำ จึงเอาอยู่ รัฐบาลได้รับคำยกย่องจากทั่วโลก แต่ก็รักษาคำยกย่องไว้ได้ไม่นาน เพราะปล่อยให้คนเหลวไหลแบบ Old normal ติดอยู่กับสันดานเดิม อยู่นั่นเอง
พวกโลกสวยอาจปลอบใจว่า รอบนี้ไม่หนักหนาเพราะคนไทยเคยผ่านวิกฤตมาแล้ว จะป้องกันการระบาดได้ดีกว่าครั้งแรก
ก็จริงอยู่ แต่อย่าลืมว่า ข่าวระบาดรอบสองในประเทศไทยที่แพร่ไปทั่วโลก จะส่งกระทบเศรษฐกิจแบบยกกำลังสอง หรือรุนแรงมากกว่าเดิม ด้วยเหตุผลดังนี้
1.การระบาดรอบแรก เศรษฐกิจเสียนับล้านล้านบาท รัฐบาลต้องกู้เงินสร้างหนี้ เอามาช่วยพยุงเศรษฐกิจ ถ้าการระบาดล่าสุด รุนแรงถึงขั้นปิดเมือง รัฐบาลคงไม่มีปัญญาไปหาเงินมาพยุงเศรษฐกิจอีกรอบ
2.รัฐบาลเพิ่งทุ่มโปรโมทประเทศเป็นพื้นที่ปลอดโควิด พร้อมกับเชิญชวนนักท่องเที่ยวต่างชาติกระเป๋าหนักที่ต้องการหนีโควิด ให้มาพักผ่อนยาว ๆ 270 วัน เมื่อข่าวระบาดรอบสองแพร่ออกไป เงินที่ใช้ในการโปรโมทแทบเหลือเท่ากับศูนย์ และการเริ่มต้นโปรโมทใหม่อาจไม่ได้ผล เพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ไว้วางใจ
3.นักธุรกิจเอกชนที่ล้มระเนนระนาดในวิกฤตครั้งแรก พยายามดิ้นรนฟื้นธุรกิจ บางคนต้องไปกู้หนี้ยืมสิน ถ้าเจ๊งอีกครั้งคงล้มละลายวายวอดไม่มีโอกาสฟื้นคืนชีวิต อย่าลืมว่า นักธุรกิจเอกชนเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หากล้มแล้วลุกไม่ขึ้น เศรษฐกิจของไทยก็จะเจ๊งยาวแบบสิ้นเนื้อประดาตัว เพราะเป็นการล้มรอบสอง
ทั้งหมดนี้ “บิ๊กตู่” ต้องรับผิดชอบ โดยเร่งจัดการกับความเหลวไหลของทั้ง ฝ่ายรัฐ และ ผู้ติดเชื้อโควิด
จำได้ว่า ศาลจังหวัดสมุทรสาคร เคยตัดสินผู้ไม่สวมหน้ากากอย่างน้อย 4 ราย นี่..!! เป็นความผิดที่ไม่ได้ป้องกันตัวเองยังโดนลงโทษ
แต่สำหรับ “ผู้แพร่เชื้อ” ยังไม่เคยเห็นใครถูกดำเนินคดี เพราะเจ้าหน้าที่เหลวไหล จึงทำให้คดีไปไม่ถึงศาล ไม่มีคำพิพากษาและไม่มีความเข็ดหลาบ
“บิ๊กตู่” จะต้องไล่เบี้ยเอาคนพวกนี้ขึ้นศาล พร้อมกับสอบสวนให้รู้ว่า ดอดข้ามแดนมาได้อย่างไร 30 กว่าคน มีเจ้าหน้าที่รับจ้างพาข้ามหรือไม่
เพราะไม่อยากเห็นนายกรัฐมนตรีเหลวไหลไปอีกคน
……………………………
#ดินสอโดม