ประเทศไทย ณ เวลานี้ ยังหวีดวิ๊ว ยังเถิดเทิง อยู่กับ ยอดนักท่องเที่ยว ที่หลั่งไหลเข้ามาหาความสุข ความสำราญ ความบันเทิงของไทย เพราะตั้งเป้าหมายว่า จะเป็นอีกหนึ่งเครื่องยนต์ที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปได้
ทั้งนี้มีการคาดการณ์กันว่า ภายในสิ้นปี 65 นี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติจะเดินทางมาเที่ยวไทยมากถึง 10 ล้านคน ขณะที่นักท่องเที่ยวไทยเดินทางท่องเที่ยวในไทย 160 ล้านคนครั้ง สร้างรายได้รวมทั้งปี 1.2 ล้านล้านบาท
ที่สำคัญ!! ยังหมายมั่นปั้นมือกันว่า…อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยจะสามารถกลับไปยืนหนึ่ง เช่นเดียวกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ภายในปี 2567 หรืออีก 2 ปีข้างหน้า
จริงอยู่…ที่ว่าการท่องเที่ยวได้กลายเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในเวลานี้ แต่ก็อย่าลืมว่า ขณะนี้สถานการณ์เศรษฐกิจโลก ยังลูกผีลูกคน
ล่าสุด IMF หรือ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกอีกครั้ง พร้อมส่งคำเตือนดัง ๆ ว่า… สิ่งที่เลวร้ายที่สุดยังมาไม่ถึง และภาวะถดถอยของเศรษฐกิจจะปรากฎขึ้นในปี 2566 นี้
ทั้งนี้ IMF ได้หั่นเศรษฐกิจโลกเติบโตเหลือเพียง 2.7% และยังมีความเป็นไปได้ในอัตรา 25% ที่จะเติบโตเพียง 2% เมื่อเทียบกับครั้งก่อนที่คาดการณ์ไว้ที่ 3.2%
เหตุปัจจัยก็มาจาก 3 เรื่องสำคัญ ทั้งความรุนแรงของสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมไปถึงอัตราเงินเฟ้อสูง และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน เช่นเดียวกับเศรษฐกิจของยักษ์ใหญ่ อย่างสหรัฐ และยุโรป ที่ยังคงชะลอตัวด้วยเช่นกัน
ที่น่าช้ำชอกคาหัวอกหัวใจคนไทย อีกเรื่องก็คือ…มุมมองของ IMF ที่มองว่า เศรษฐกิจโลกในปีหน้า ถือว่า “อ่อนแอ” ที่สุด นับตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา
นอกจากนี้ IMF ยังเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วโลก จะพุ่งสูงที่สุดในช่วงปลายปีนี้ โดยทั้งปีพุ่งไปถึง 8.8% และจะปรับลดลงเหลือ 6.5% ในปีหน้า และในปี 2567 จะลดลงเหลือ 4.1%
ขณะที่ “เฟด” (ธนาคารกลางสหรัฐฯ) ตั้งเป้าหมายเงินเฟ้อไว้ที่ 2% ซึ่งเท่ากับว่าต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยขึ้นอีก เพื่อลดความร้อนแรงของเงินเฟ้อ ที่คาดหมายกันว่า เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยไปจนแตะที่ระดับ 4.6% ในปีหน้า
ผลพวงของดอกเบี้ยแพงครั้งนี้ กลายเป็นการเพิ่มความเสี่ยงกับเศรษฐกิจ เพราะการเร่งขึ้นดอกเบี้ยเร็วเกินไป อาจทำให้ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกรุนแรงขึ้น
หันมามองที่ไทย ณ เวลานี้ กำลังทำอะไรกันอยู่กับภาวะเศรษฐกิจ แม้ยังอยู่ในช่วงของเหตุการณ์สะเทือนใจ จนทำให้ข่าวคราวความเดือดร้อนของประชาชนคนไทยลดน้อยถอยลงไป
แต่!!ความเดือดร้อนของคนไทยไม่ได้หายไปไหน!! ยังคงอยู่ทั่วประเทศ แถมเวลานี้ยังมีปัญหาเรื่องของน้ำท่วม เข้ามาถาโถมเข้าอีก
มีการประเมินกันว่าในเวลานี้ เหตุการณ์น้ำท่วมที่ขยายวงกว้างได้ทำให้เศรษฐกิจเสียหายประมาณ 20,000 ล้านบาท
ขณะที่แนวโน้มของยอดออเดอร์หรือการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศในช่วงปลายปี ยังลดน้อยถอยลงไปด้วย ทั้งที่เป็นช่วงที่ไพร์มไทม์ ที่ยอดออร์เดอร์หรือยอดคำสั่งซื้อจะไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อต้อนรับช่วงเทศกาล
ไม่เพียงเท่านี้ ทิศทาง หรือทางออกของเศรษฐกิจ จากฝ่ายนโยบาย ยังไม่มีให้เห็นชัดเจน ขณะที่หลายฝ่ายก็มัวแต่เฝ้ารอ “ของฟรี” เพราะช่วงนี้อยู่ในโหมดของ “การเมือง”
ทุกฝ่ายก็ปฎิเสธ ไม่ได้เช่นกัน ในเวลานี้ หากใครสาดนโยบายสวยหรูแบบที่โดนอกโดนใจชาวบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ความฝัน” ที่จะใส่เงินในกระเป๋าให้ ลดค่าใช้จ่ายให้ หรือ “แจกเงิน” ให้ ก็อาจได้มาซึ่งความนิยมชมชอบมากขึ้น
แต่!! ในความเป็นจริงแล้ว ยังไม่เห็นทิศทางว่าจะรับมือเศรษฐกิจกันอย่างไร? ทั้งที่ทุกฝ่ายต่างออกมาพยากรณ์ให้เห็นกันชัด ๆ ว่า ในปีหน้า จะเป็นปีแห่งการ “เผาจริง”
หันไปมองบรรดาซีอีโอระดับโลก ต่างงัดกลยุทธ์สารพัดเพื่อรับมือกับ “มหาพายุ” ลูกใหม่ที่กำลังคืบคลานเข้ามา ที่เห็นได้ชัด ก็เป็นเรื่องของการ “ปลดคน” ที่ยังถือเป็นปัจจัยลบ ที่ส่งผลให้ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคไทยยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 100
หลายคนอาจมองว่า…สัญญาณ “เศรษฐกิจถดถอย” เป็นเรื่องไกลตัว และยังไม่ส่งผลกระทบกับไทยแน่นอน แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ “ความฝัน” แต่เป็นเรื่องจริงที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า!!
หันมามองที่ “คนไทย” ยังมองไม่เห็นทางออกว่า…จะฝ่าฟันมหาพายุนี้ไปได้อย่างไร? หรือแค่…ปล่อยตามยถากรรม!!
……………..
คอลัมน์ : EC Focus by Virgo
สนับสนุนคอลัมน์ โดย E@ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน)