ทันทีที่ประเทศไทยมี นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ที่ชื่อ “เศรษฐา ทวีสิน” การทวงถามสัญญา เรื่อง การแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ก็กลายเป็นที่เรียกร้องของสังคมกันขึ้นมาอีกครั้ง
ไม่ใช่เฉพาะเพียงแค่ชาวรากหญ้า ชาวนาชาวไร่ ผู้ใช้แรงงาน แต่ผู้ที่มีสิทธิ ต่างนำมาวิพากษ์วิจารณ์กันอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เทสิทธิเทเสียงให้กับ “พรรคเพื่อไทย” หรือไม่ก็ตาม
อย่าลืมว่า การแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท นี้ถือเป็นหนึ่งในนโยบายเด่นของพรรคเพื่อไทย ที่สามารถโกยคะแนนเสียงจนได้มาเป็นพรรคลำดับที่สอง
จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ในเวลานี้ในสังคมไทยจะพูดถึง ถามถึงเรื่องนี้ ที่สำคัญ!! บรรดาแก๊งมิจฉาชีพยังฉิบฉวยนำเอาเรื่องนี้มาปั้นเป็นตัวล่อจัดทำแอปพลิเคชั่น หวังดูดเงินเหยื่อทันทีทันใดเช่นกัน
ด้วยหวังว่า กระแสที่กำลังฮอตฮิตในเวลานี้ อาจทำให้เหยื่อ “หลงกล” ก็เป็นไปได้ จนพรรคเพื่อไทยเองต้องออกมาแจงที่ไปที่มาว่า อย่าหลงเชื่อแอปฯแจกเงินดิจิทัลนี้โดยเด็ดขาด
เพราะยังอยู่ในขั้นตอนของการเตรียมการ กว่าจะใช้ได้จริงๆ ก็อยู่ราวๆ ครึ่งปีแรกของปีหน้า ปี 2567 ก่อนเทศกาลสงกรานต์โน่น และจะเป็นการโอนเงินเข้าบัญชีอัตโนมัติ ไม่มีการเปิดให้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่นแน่นอน
เอาเป็นว่าช่วงนี้ใครที่กำลังฝันถึงเงิน 10,000 บาทตามนโยบายของพรรคเพื่อไทย ก็ต้องใจเย็นอดใจรอไปก่อน รอให้การจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรีเค้าลงตัวกันเสียก่อน
อย่างไรซะ การแจกเงินก้อนมหึมาถึง 560,000 ล้านบาทนั้น ย่อมต้องเกิดขึ้นแน่ ตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ แต่ปัญหาในเวลานี้ที่หลายๆ คนกำลังตั้งคำถามว่า จะหาเงินจากที่ไหนมาแจก นั่นสิน่าจะเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่า
ต่อให้นโยบายนี้จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศวิ่งปรู๊ดปร๊าดได้เร็ว เหมือนอย่างที่ดีดลูกคิดตามสูตรคณิตศาสตร์ออกมาว่าจะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตเพิ่มขึ้นได้อีกอย่างน้อย 2.5-3% ก็ตามทีเถอะ
บรรดากูรูทางด้านเศรษฐกิจ ต่างคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า การแจกเงิน!! ใส่กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ครั้งนี้ จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในช่วงสั้นๆ
ปัญหาอยู่ที่ว่าการใช้ “เงินแจก” ครั้งนี้ ต้องมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องถูกกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง เพราะเงินที่ใส่เข้าไปในระบบทุก 1 แสนล้านบาท นั้นจะทำให้เศรษฐกิจสามารถขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ 0.5-0.7% ต่อปี
หากนโยบายนี้…จัดเต็มคาราเบล ให้กับคนที่มีอายุ 16 ปี ขึ้นไป กว่า 50 ล้านคน คนละ 10,000 บาท ได้รับเหมือนกันหมด ก็คาดหมายกันว่าจะช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโต
เงินจำนวนกว่า 560,000 แสนล้านบาทที่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ จะทำให้เกิดการหมุนเวียน หรือเพิ่มมูลค่าได้ถึง 6 เท่า หรือเงินหมุนได้ถึง 6 รอบ ก็ตกราวๆ 3 ล้านล้านบาท
นั่นหมายความว่า… เมื่อเศรษฐกิจเติบโต รัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของ “เศรษฐา ทวีสิน” ก็จะสามารถจัดเก็บภาษีได้มากขึ้น ก็เท่ากับว่ารัฐบาลมีรายได้มากขึ้น สามารถนำมาบริหารจัดการนโยบายต่างๆ ตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน
ขณะเดียวกันเมื่อเศรษฐกิจขยายตัว ผลผลิตมวลรวมในประเทศ หรือ “จีดีพี” ของประเทศเพิ่มมากขึ้น ย่อมทำให้สัดส่วนหนึ้สาธารณะลดลงไปโดยปริยาย ก็ตาม
แต่!! กว่าที่รัฐบาลจะจัดเก็บภาษีได้ตามที่วาดฝันไว้ คำถามเรื่อง “แหล่งที่มาของเงิน” เพื่อจัดทำนโยบายแจกเงินนี้ ก็ยังวนเวียน เพราะไม่มีคำตอบที่แน่ชัด
หากดูงบประมาณปี 67 มีวงเงิน 3.35 ล้านบาท แถมยังต้องกู้มาโปะ งบที่ขาดดุลอีก 593,000 ล้านบาท เท่ากับว่า… รัฐบาลไม่มีเงินงบประมาณเหลือพอที่สามารถนำไปแจกได้ นอกจากต้องกู้ !!
ด้วยเหตุนี้ภาระการกู้เงินของรัฐบาลปี 67 ย่อมต้องเพิ่มเป็น 1.14 ล้านล้านบาท !! อย่าลืมว่าในช่วงที่ประเทศไทยเกิดโควิด รัฐบาลก็ต้องกู้เงินมาใช้จ่าย 1.5 ล้านล้านบาท ไปก่อนหน้านี้แล้ว
อย่าลืมว่า…นโยบายของพรรคเพื่อไทย หรือพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องของการแจกเงินดิจิทัล ยังมีเรื่อง เงินเดือนปริญญาตรี เริ่มต้น 25,000 บาท การเพิ่มค่าแรง วันละ 600 บาทในปี 70 การเพิ่มรายได้เกษตรกร เป็น 3 เท่า และอื่นๆ อีกหลายมาตรการ
ทั้งหลายทั้งปวง ก็ต้องมาดูว่าถ้อยแถลงของ “เศรษฐา” ที่ว่า “ขอทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีที่ไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย จะนำพาประเทศไทยไปข้างหน้า และสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้กับลูกหลานทุกคน” นั้น…จะเดินหน้าได้ตามคำสัญญามากน้อยเพียงใด?
…………………………
คอลัมน์ : EC Focus by Virgo
สนับสนุนคอลัมน์ โดย E@ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน)